ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 13 ส.ค.63 ปิดที่ 1,346.69 จุด เพิ่มขึ้น 9.85 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 77,812.76 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 506.80 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 91.50 บาท บวก 6.25 บาท, AOT ปิด 56.25 บาท บวก 3 บาท, BBL ปิด 109.50 บาท บวก 5.50 บาท, KCE ปิด 30 บาท บวก 2 บาท และ STGT ปิด 78.25 บาท ลบ 7.50 บาท
มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น
ต่างประเทศ หลังคาดหวังการผลิตวัคซีนโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
“ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์” หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ เผยว่า ปีนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบราว 16% เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 63 จะติดลบ 6.4% ถือว่าติดลบมากที่สุดนับแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ คาดว่า บริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาส 2 จะมีกำไรรวม 99,759 ล้านบาท ลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่หากดูผลประกอบการ บริษัทที่อยู่ในกลุ่มเมกะเทรนด์ของโลก เช่น กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลับเติบโตสวนทาง คาดกำไรจะโต 11% นอกจากนี้ บริษัทที่อยู่ในกลุ่มดิจิทัลเฮลธ์แคร์หนึ่งในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ก็เติบโตได้ดีไม่แพ้กัน
ดังนั้นจึงแนะให้นักลงทุนเลือกกองทุนหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์มาเป็นสัดส่วนหลักของการจัดพอร์ตลงทุน แทนการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นไทย และแทนการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์รายประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลง และยังเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนระดับสูง ตามศักยภาพการเติบโตของหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่จะโตต่อเนื่องไปอีก 5-10 ปี โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อยครั้ง
ปิดท้ายว่า แม้ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยจะปรับลงมามากแล้ว แต่ทิสโก้เวลธ์ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เพราะปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 อาจทำให้เศรษฐกิจไทยใช้เวลานานในการฟื้นตัว โดยเฉพาะไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตที่ดี น่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในยามเศรษฐกิจขาลง!!
อินเด็กซ์ 51