โควิดทำตลาดหุ้นไทยซึมหนัก 8 เดือนแรกของปี 63 ให้ผลตอบแทน -16%

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

โควิดทำตลาดหุ้นไทยซึมหนัก 8 เดือนแรกของปี 63 ให้ผลตอบแทน -16%

Date Time: 13 ส.ค. 2563 19:30 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • ทิสโก้เวลธ์ ประเมินโควิด-19 ทำหุ้นไทยซึมหนัก 8 เดือนแรกของปี 63 ให้ผลตอบแทน -16% พบกำไร บจ.ไตรมาส 2 ลดลง 45% เมื่อเทียบกับปี 62 แนะนักลงทุนใช้กองทุนหุ้นเมกะเทรนด์จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง

ทิสโก้เวลธ์ ประเมินโควิด-19 ทำหุ้นไทยซึมหนัก 8 เดือนแรกของปี 63 ให้ผลตอบแทน -16% พบกำไร บจ.ไตรมาส 2 ลดลง 45% เมื่อเทียบกับปี 62 แนะนักลงทุนใช้กองทุนหุ้นเมกะเทรนด์จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันหุ้นไทยให้ผลตอบแทน -16% ซึ่งสาเหตุหลักเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 GDP อยู่ที่ -6.4% ซึ่งถือว่าติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง จากปัจจัยลบดังกล่าวย่อมส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย โดยนักวิเคราะห์จาก บล.ทิสโก้ คาดว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยในไตรมาส 2/2563 จะมีกำไรประมาณ 99,759 ล้านบาท ลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อดูตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มเมกะเทรนด์ของโลก เช่น กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลับเติบโตสวนทาง โดยนักวิเคราะห์จาก Factset คาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 2/2563 จะเติบโตได้ 11% ตัวอย่างบริษัทกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่มีอัตราการเติบโตดีอย่างโดดเด่น

Shopify ผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม สำหรับสร้างร้านค้าออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการมีหน้าร้าน สามารถสร้างหน้าร้านขายสินค้าออนไลน์ได้เอง ในไตรมาส 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 714.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้นกว่า 97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรเติบโตถึง 650% YoY

ทั้งนี้ เป็นการเติบโตในช่วงที่มีมาตรการ Lockdown ทำให้คนออกจากบ้านไปซื้อสินค้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยมีร้านค้าเปิดใหม่ (New Stores) ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของ Shopify เพิ่มขึ้นถึง 71% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

Etsy ผู้ประกอบธุรกิจสื่อกลางในการซื้อ และขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ (Marketplace) ในสหรัฐฯ และยุโรป เน้นขายสินค้าออนไลน์ที่เป็นงานทำมือ (Handmade) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของเล่นและอื่นๆ กว่า 66 ล้านรายการ

โดยมียอดขายไตรมาส 2/2563 กว่า 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเติบโตกว่า 147% YoY และมีผู้ซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหว (Active Buyers) อยู่ที่ 60 ล้านรายเพิ่มขึ้น 41% YoY โดยเป็นผู้ซื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 11.5 ล้านราย ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตสูงถึง 435% YoY

กลุ่มดิจิตอลเฮลท์แคร์เติบโตไม่แพ้กัน

Teladoc ผู้นำด้านธุรกิจ Telemedicine ที่เข้ามาช่วยเชื่อมโยงระหว่างคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านโทรศัพท์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในชื่อ "Telehealth" เพื่อให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ทั่วโลก ในไตรมาสที่ 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการปรึกษาแพทย์ในช่วงที่โควิดแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นสูง

Dexcom ผู้คิดค้นพัฒนาและผลิตเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยไม่ต้องเจาะเลือดแบบเดิมๆ โดยในไตรมาส 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 451 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรเติบโตกว่า 887% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นกว่า 20%

นายณัฐกฤติ กล่าวว่า จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเมกะเทรนด์ หนุนให้ราคาหุ้น และราคาหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้เติบโตดีอย่างมาก เช่น กองทุน Amplify Online Retail ETF (IBUY:US) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ธุรกิจมีรายได้หรือได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนถึง 79%

ขณะที่กองทุน Credit Suisse Lux Digital Health Equity Fund (CSGDIBU:LX) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนถึง 42%

แบ่งเงินไปลุยกองทุนหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์

นายณัฐกฤติ แม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยจะปรับลงมามากแล้ว แต่ทิสโก้เวลธ์ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เพราะปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยใช้เวลานานในการฟื้นตัว โดยเฉพาะการที่ไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวในระดับสูง เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกกองทุนหุ้น กลุ่มเมกะเทรนด์เป็นสัดส่วนหลักของการจัดพอร์ตการลงทุน

นอกจากนี้ ยังแทนการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นไทย รวมถึงแทนการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์รายประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลง และยังเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระดับสูง ตามศักยภาพการเติบโตของหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่จะโตต่อเนื่องไปอีก 5-10 ปี โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อยครั้ง ซึ่งการลงทุนในหุ้นเมกะเทรนด์ น่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในยามที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ