ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 6 ส.ค.63 ปิดที่ 1,333.22 จุด ลดลง 4.13 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 55,061.31 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 608.10 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTTGC ปิด 51.25 บาท บวก 2.25 บาท, BAM ปิด 24.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, ADVANC ปิด 190 บาท บวก 5 บาท, AOT ปิด 49.75 บาท บวก 0.25 บาท และ CPALL ปิด 68.75 บาท บวก 0.50 บาท
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ ประเมินตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกของเดือน ส.ค.63 ว่าดัชนี น่าจะอยู่ภายใต้แรงกดดันของตัวเลขที่สำคัญ 2 รายการคือ GDP และผลประกอบการ Q2/63 ซึ่งจะถูกประกาศออกมา โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี หลังจากนั้นน่าจะค่อยๆดีขึ้น
ช่วงครึ่งแรกของเดือน ส.ค.ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะเผชิญแรงกดดันและมีข้อจำกัดในการปรับขึ้นของดัชนีจาก 4 ปัจจัย คือ 1.กระแสการปรับลด GDP ปี 63 ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เอเซีย พลัสประเมินว่า มีโอกาสจะเห็น Downside ของประมาณการ GDP ปี 63 จากความไม่แน่นอนของเหตุการณ์อนาคต เช่น การกลับมา Reopen ธุรกิจของไทย ในภาวะที่ประเทศคู่ค้าหลักของไทยหลายประเทศกลับมา Lockdown รอบที่ 2 และผลกระทบสำคัญ คือ การบริโภคครัวเรือนช่วง 2H63 คาดจะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่หายไปจากผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น
2.การรายงาน GDP Q2 ของสภาพัฒน์วันที่ 17 ส.ค.นี้ คาดหดตัว 15% yoy หรือหดตัว 18.9%qoq อยู่ที่ 2.26 ล้านล้านบาท ประเมิน Q2/63 เป็น Bottom ของปีนี้ หาก GDP ออกมาหดตัวมากกว่าที่คาด หรือใกล้เคียง เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะถูกกดดันต่อ
3.ความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯต้องการให้ Application ของจีน Remove ออกจาก Apple Store และ Google Store ทั้งหมด ประเมินว่ามีโอกาสร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเลือกตั้ง วันที่ 3 พ.ย.นี้ “ทรัมป์” จะเร่งสร้างคะแนนเสียง 4.การปรับลดประมาณการกำไร บจ.
สรุปคือ ตลาดต้องเผชิญความเสี่ยงจาก 4 เหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นพร้อมๆกันกลางเดือน ส.ค.แต่หลังจากนั้นจะเป็นเหมือน “ฟ้าหลังฝน” คือ เป็นโอกาสทยอยเข้าสะสมหุ้นไทย จากเศรษฐกิจที่น่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว รวมถึงแรงผลักดันจากสภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นระบบช่วยหนุนอีกแรง
นักกลยุทธ์แนะเน้นเลือกลงทุนหุ้นผันผวนต่ำ–ปันผลสูง พร้อมกับกำไรอยู่ในระดับที่ดีกว่าตลาด อย่าง MCS, INTUCH โดยคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลทั้ง 2 บริษัท!!
อินเด็กซ์ 51