ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 มี.ค.63 ปิดที่ 1,033.84 จุด เพิ่มขึ้น 9.38 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 64,144.80 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,943.26 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 17.50 บาท บวก 0.40 บาท, PTT ปิด 29 บาท บวก 1.75 บาท, AOT ปิด 48 บาท บวก 0.75 บาท, ADVANC ปิด 194 บาท บวก 6 บาท และ CPALL ปิด 59 บาท บวก 0.50 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินหลังรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเป็นการแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ว่า ช่วยส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยบ้างเล็กน้อย ถือเป็นการช่วยชะลอการแพร่ระบาด โดยเป็นเพียงการขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางไปต่างจังหวัด
แนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน แนะให้ถือเงินสดเพื่อรอจังหวะ หากดัชนีปรับลงต่ำกว่า 1,000 จุด เป็นจังหวะที่ควรเข้าซื้อได้ เพราะเชื่อว่าหากปรับตัวลงแรง จะมีผู้ที่เข้ามาซื้อกลับแน่นอน ส่วนนักลงทุนที่มีเวลาเฝ้าติดตามตลาด แนะให้หาจังหวะเล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้
ปัจจัยที่ต้องติดตาม การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 25 มี.ค.นี้ คาดว่าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง 0.25% จากเดิมอยู่ที่ 0.75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือลูกหนี้
กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์ ที่ไม่ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัส กลุ่ม ICT แม้ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากต่างชาติเดินทางมาไทยลดลง ส่งผลให้รายได้จากการให้บริการโรมมิ่งลดลง แต่การให้บริการ Work From Home จะได้ประโยชน์และผลดีมากกว่า รวมทั้งแนะนำหุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นเด่น MAKRO BJC และ CPALL
ด้านเทคนิคมองแนวรับสัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,000 จุด แนวรับถัดไปอยู่ที่ 980 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,080 จุด และ 1,100 จุด
ขณะที่ บล.ทิสโก้ เชื่อว่าการที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือว่าช่วยยกระดับการสกัดการแพร่ระบาด แต่ช่วงสั้นอาจยังไม่เห็นผลของการควบคุมที่แน่นอน เนื่องจากจะประกาศใช้วันที่ 26 มี.ค.นี้ จึงอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น
แนะกลยุทธ์การลงทุน ทยอยซื้อสะสมหุ้นใหญ่ที่มีพื้นฐานดี เช่น AOT, CPALL, BJC, BAM ด้านเทคนิคประเมินแนวรับดัชนีไว้ที่ 1,000 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,030 และ 1,040.
อินเด็กซ์ 51