นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดที่ผันผวนมาก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงปรับปรุงเกณฑ์การกำหนดราคาเสนอซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor) จากเดิมกำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุดหรือการขึ้น-ลงของราคาหุ้นภายใน 1 วัน ไม่เกิน 30% ปรับเป็นไม่เกิน 15% สำหรับกระดานซื้อขายปกติ ส่วนกระดานซื้อขายต่างชาติจากเดิมขึ้น-ลงไม่เกิน 60% ปรับเป็นขึ้นลงไม่เกิน 30%
นอกจากนี้ ยังปรับเกณฑ์การหยุดการซื้อขายโดยอัตโนมัติ Circuit Breaker จากเดิมหากดัชนีปรับลง 10% จะหยุดการซื้อขาย 30 นาที และหากดัชนียังปรับลงต่อถึง 20% จะหยุดพักการซื้อขาย 60 นาที โดยปรับใหม่ ระดับแรกเมื่อดัชนีลดลง 8% จึงหยุดพักการซื้อขาย 30 นาที และระดับที่ 2 หากดัชนีลงต่อจนถึง 15% จะพักซื้อขายอีก 30 นาที และระดับที่ 3 หากดัชนียังลงต่อไปถึง 20% จะพักการซื้อขายอีกครั้ง 60 นาที หลังจากนั้นจะเปิดให้ซื้อขายต่อไปจนถึงเวลาปิดทำการปกติในรอบการซื้อขายนั้น เพื่อลดความผันผวนโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.63 และไม่เกิน 30 มิ.ย.63
“คาดหวังว่าจะช่วยให้ตลาดปรับตัวลดลงได้ช้าลง เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาคิด มีเวลาพิจารณาข้อมูลใหม่ ต้องยอมรับว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยขณะนี้อิงตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก วันนี้เราประทังตัวเพื่อรอข่าวดี ซึ่งในวันรุ่งขึ้นข้อมูลจากต่างประเทศ อาจไม่เหมือนเดิมแล้ว มีปัจจัยใหม่เกิดขึ้นได้ตลอด อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ปิดตลาดหรือปิด การซื้อขาย เพราะหน้าที่ของตลาดคือสร้างสภาพคล่องให้นักลงทุน”
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยถึงการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่กระทรวงการคลังจะนำมาใช้ดูแลนักลงทุนว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาในรายละเอียด และจะนำออกมาใช้ในกรณีและในเวลาที่เหมาะสม โดยยืนยันว่ารูปแบบของการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นครั้งนี้ ไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณหรือเงินภาษีของประชาชนแน่นอน รัฐบาลและกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นทั้งประชาชนระดับฐานราก ประชาชนในเมือง นักธุรกิจ หรือนักลงทุน ซึ่งการตั้งกองทุนพยุงหุ้นจะดำเนินการตามระยะเวลาที่เหมาะ.