ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 13 ก.พ.63 ปิดที่ 1,532.77 จุด ลดลง 7.07 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 46,419.92 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,323.11 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KCE ปิด 24.70 บาท บวก 2.30 บาท, BAM ปิด 32.50 บาท บวก 1.25 บาท, GPSC ปิด 77 บาท ลบ 1.50 บาท, PTT ปิด 43 บาท ลบ 0.25 บาท และ AOT ปิด 70.50 บาท ลบ 0.25 บาท
บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ “ส่อง 8 หุ้น ราคาขึ้นแรงกว่าตลาด เสี่ยงถูกขายทำกำไร” หลัง COVID 19 กลับมากดดันอีกครั้ง จากจำนวนผู้ติดเชื้อสูงกว่าที่คาดไว้ อาจทำให้ Fund Flow ไหลกลับสู่สินทรัพย์ปลอดภัยขณะที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเอเซียพลัสปรับลดจากคาดโต 2.8% เหลือ 2% ขณะที่ล่าสุด ผู้บริหาร ธปท.ออกมาระบุ เศรษฐกิจปีนี้อาจโตได้แค่ 1.3%
เชื่อว่าตลาดมีโอกาสถูกขายทำกำไร โดยหุ้นที่เป็นเป้าหมายขายทำกำไรและต้องระมัดระวัง คือ หุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามาก จนราคาหุ้นปัจจุบัน สูงกว่า Fair Value เอเซียพลัสได้คัดกรองหุ้นเสี่ยงถูกขายตามเกณฑ์ดังนี้ 1.เป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯไม่ได้แนะนำซื้อ 2.Upside ติดลบ 3.ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี ขึ้นแรงกว่าตลาดมาก พบว่าส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ โรงไฟฟ้าและกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
โดย 1.กลุ่มเช่าซื้อ การลดดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.ทำให้หุ้นกลุ่มเช่าซื้อปรับตัวขึ้นตั้งแต่กลางปี 62 และ outperform ตลาดมาก เพราะคาดหวังจะได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง พบว่ามีหุ้นที่ ปรับขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐาน ได้แก่ JMT, SINGER, SAWAD และ THANI
2.กลุ่มโรงไฟฟ้า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้นักลงทุนย้ายเงินไปลงทุนในหุ้นที่มีรายได้มั่นคงผันผวนต่ำ โดยหุ้นโรงไฟฟ้าได้รับความนิยมมากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หากดูมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 63 ราคาหุ้นค่อนข้างเต็มมูลค่ามี upside จำกัด และราคาหุ้นปัจจุบันมี Dividend Yield ลดลงเหลือเฉลี่ยต่ำกว่า 3% ต่อปี จากในอดีตที่สูงกว่า 5% จึงแนะเลี่ยงหุ้นโรงไฟฟ้าบางตัวที่ Valuation เต็มมูลค่าพื้นฐานทั้ง GULF และ B.GRIM
3.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไวรัสโคโรนากดดันให้คนงานกลับมาทำงานน้อยเป็น downside ต่อประมาณการกำไรปี 63 โดยเอกชนไทยมีรายได้จากจีนดังนี้ HANA 18%, DELTA 14%, KCE 10%, SVI 5%.
อินเด็กซ์51