ทรีนีตี้ห่วงเม็ดเงินลงทุนหุ้นหาย เหตุกองทุน SSF ไม่เอื้อออมเพิ่ม

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงลบต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้นระยะกลาง-ยาว (5 ปีข้างหน้า) จากกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 63-67 โดยประเมินว่าการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดจาก 15% เป็น 30% นั้น คงไม่ได้มีเม็ดเงินออมใหม่เข้ามามากนัก เนื่องจากกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากกองทุนนี้เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการออมต่อรายได้ในระดับที่ไม่สูงมาก ส่วนการกำหนดว่าต้องลงทุนยาวเป็น 10 ปี จากเดิม กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ให้ลงทุน 7 ปีเท่านั้น แม้จะไม่ลดทอนแรงจูงใจผู้ที่มีฐานภาษีระดับกลาง-สูง ที่ต้องการลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว แต่อาจกระทบต่อแรงจูงใจของผู้ที่มีฐานภาษีอยู่ในระดับต่ำ ที่อาจลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษีลดลง นอกจากนี้ กองทุน SSF ที่ลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภทนั้น จะเป็นผลดีต่อผู้ลงทุนเพราะได้ลงทุนที่หลากหลาย แต่จะเป็นผลลบต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้น เนื่องจากมีโอกาสสูงที่ผู้ลงทุนจะหันไปลงทุนในกองทุน SSF ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งอาจเป็นกองทุนที่ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้น จากเดิมที่ LTF บังคับให้ต้องลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น

“และที่กระทบต่อเม็ดเงินในตลาดหุ้นมากสุด คือการนับวงเงินที่ซื้อ SSF เข้ารวมกับกองทุนรวมเพื่อเกษียณอายุ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และประกันบำนาญรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ที่จะนำมาลดหย่อนภาษีได้นั้น คาดว่าจะทำให้เงินออมหายไปจากระบบค่อนข้างมากจากกลุ่มที่มีฐานภาษีสูง ซึ่งมีการออมใกล้เต็มเพดานอยู่แล้ว เม็ดเงินที่หายไปนี้จะกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมแน่นอน และมั่นใจว่าเม็ดเงินที่ปกติเคยไหลเข้าสู่กองทุน LTF เฉลี่ยปีละ 60,000 ล้านบาท จะลดลงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ทำให้ตลาดหุ้นไทย 5 ปีข้างหน้ามีความ เสี่ยงด้านสภาพคล่อง โดยเฉพาะปี 65 ซึ่งจะมีการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุจากการซื้อเมื่อปี 59.