“พิชญ์” ชิงลาออกจากซีอีโอจัสมิน–โมโน หลังใช้ข้อมูลภายใน (อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง) ซื้อขายหุ้น JTS โดนปรับรวม 59 ล้านบาท ทำให้ขาดความน่าไว้วางใจ ขาดคุณสมบัติ ด้าน ก.ล.ต.รอมาบันทึกยินยอมการกล่าวโทษและชำระค่าปรับทางแพ่ง หากไม่ยินยอมส่งฟ้องศาลแพ่งอาจโดนโทษปรับสูงสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา บมจ.โมโน เทคโนโลยี (MONO) และ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์พร้อมกันว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่ข่าวการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีของ บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) ผ่านทางเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา โดยรวมถึงนายพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการของบริษัท และมีการระบุว่าการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ดังกล่าว จะเป็นเหตุให้นายพิชญ์เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจ โดยจะต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างดำเนินการต่อไปนั้น
ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก ก.ล.ต. แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี นายพิชญ์จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย. 2562 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างจัดประชุมคณะกรรมการเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทน โดยเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงการดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ก.ล.ต.ได้เปิดเผยว่าได้ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งต่อนายพิชญ์ และ
นายเกริกไกร กรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น JTS โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์คืนรวม 58.77 ล้านบาท และปรับนายเกริกไกร 333,333 บาททั้งนี้ ยังมีผลให้นายพิชญ์ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียน เพราะมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจด้วย)
ด้านนายศักรินทร์ ร่วมรังษี รองเลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต.จะต้องรอให้ผู้กระทำความผิดบันทึกยินยอมการกล่าวโทษและยินยอมชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์ภายใน 10 วัน นับจากวันที่ 16 ก.ย.62 หากไม่ยินยอม ก.ล.ต.จะนำเรื่องดำเนินการฟ้องศาลเพ่งต่อไป โดยอาจมีอัตราค่าปรับสูงสุด ซึ่งสูงกว่าค่าปรับในปัจจุบัน รวมถึงเตรียมออกประกาศการขาดลักษณะของผู้ที่ขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ทำให้นายพิชญ์ต้องพ้นจากตำแหน่งในเร็วๆนี้ โดยมีกรอบระยะเวลาของบทลงโทษดังกล่าวสูงสุดไม่เกิน 3 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชญ์ถือเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นที่จดจำคือเมื่อต้นปี 2559 กรณีที่นายพิชญ์ได้นำบริษัท แจสโมบาย บรอดแบนด์ จำกัด (แจสโมบาย) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของจัสมินเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ทำให้แข่งขันประมูลราคากันอย่างดุเดือดและแจสโมบายชนะ แต่สุดท้ายไม่มาชำระเงิน หลังจากนั้นไม่นานในปีเดียวกัน จู่ๆนายพิชญ์ก็ได้ประกาศตั้งโต๊ะทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ JAS ครั้งมโหฬาร จำนวน 4,091.73 ล้านหุ้น หรือ 68.93% และเสนอซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ JAS-W3 จำนวน 2,733.60 ล้านหน่วย
โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนเงินกู้ในการทำคำเสนอซื้อครั้งนั้น ในวงเงินไม่เกิน 42,500 ล้านบาท แม้จะไม่สามารถซื้อหุ้นคืนได้หมด โดยใช้เงินกู้ไปราว 22,000 ล้านบาท โดยนายพิชญ์ได้นำเงินปันผลจากการถือหุ้น JAS มาทยอยจ่ายหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคืนให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ขณะที่หลังจากนั้นราคาหุ้น JAS มีการวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็นรอบๆ ด้านราคาหุ้น JAS หลังแจ้งข่าวการลาออกของนายพิชญ์ได้ปรับตัวร่วงลงตั้งแต่เช้าลงไปต่ำสุดที่ 6.10 บาท ก่อนมาปิดตลาดที่ 6.40 บาท ลดลง 0.15 บาท.