ลดพอร์ต-ถือเงินสด!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 21 พ.ค.62 ปิดที่ 1,610.49 จุด เพิ่มขึ้น 2.38 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 50,396.63 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 834.38 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 46.25 บาท ลบ 0.25 บาท, AOT ปิด 66.75 บาท ลบ 0.50 บาท, PTTGC ปิด 62.75 บาท ลบ 0.75 บาท, BDMS ปิด 25.75 บาท บวก 0.50 บาท และ SCB ปิด 123.50 บาท บวก 2.50 บาท

สศช. หรือสภาพัฒน์ ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ เหลือโตเพียง 3.6% ตามด้วยอีกหลายสำนักวิเคราะห์ ที่พร้อมใจกัน

หดเป้าเศรษฐกิจ หลังพบไตรมาส 1 เศรษฐกิจขยายตัวเหลือเพียง 2.8% ขณะที่การส่งออกติดลบหนัก จากสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่ทวี ความรุนแรงมากขึ้น

บล.เออีซี มองตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลงต่อ เหตุสงครามการค้าทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ขณะที่ Bloomberg Consensus ได้ปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลง ซึ่งจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง PE ปรับตัวสูงขึ้น

ทำให้ Valuation ไม่น่าสนใจ อีกทั้งแนะจับตาประเด็นการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยหากเกิดกรณีสัดส่วนใกล้เคียงกันระหว่างจำนวน ส.ส. และฝ่ายค้าน

แนะกลยุทธ์ลงทุนท่ามกลางความผันผวน แนะนำลดพอร์ตการลงทุน ถือเงินสดให้มากขึ้น หากดัชนีย่อแถว 1,600 จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นใน 1 กลุ่ม Defensive, 1 กลุ่ม Growth และ 1 กลุ่มราคาถูก เช่น กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่งจากการดำเนินงาน ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ TPCH และ SSP

นอกจากนี้ มองกลุ่มสาธารณูปโภคเป็น OASIS ยามเมื่อตลาดหุ้นไทยผันผวน เลือก TTW และ BAFS รวมทั้งยังแนะนำ กลุ่มธนาคาร มองหุ้นกลุ่มนี้ Cheap Valuation เนื่องจากราคาปรับตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ TOP PICK เลือก KBANK ด้วยเหตุผลและหลักการคล้ายกับแนวคิดข้างต้น บวกกับคุณภาพสินเชื่อที่ยังดี

สุดท้ายคือกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ คาดมีโอกาสเติบโตได้ดีจากอัตราการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการกู้ยืมเงินของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ยังมีอยู่มากและได้รับผลบวกจากการที่ ธปท.เข้ามาควบคุมด้านกฎระเบียบอย่างเข้มงวด แนะซื้อสะสม SAWAD และ MTC!!

อินเด็กซ์ 51