กังวลทั่วโลก!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 16 พ.ค.62 ปิดที่ 1,614.75 จุด ลดลง 6.52 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 60,378.41 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,969.74 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 97.75 บาท ลบ 4.75 บาท, BEAUTY ปิด 4.46 บาท บวก 0.08 บาท, PTTEP ปิด 128.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, SCB ปิด 122 บาท ลบ 1.50 บาท และ CPALL ปิด 76.25 บาท ลบ 0.25 บาท

“ภัทรธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ” นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และซีอีโอ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ยอมรับว่าสงครามการค้าได้สร้างความกังวลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก เบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้อย่างชัดเจน แต่ระยะสั้นจะทำให้ภาคธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกอาจชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะแข็งแกร่ง แต่มีปัจจัยกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของกำไร บจ.ปีนี้ที่ต่ำกว่าคาด จากเดิมนักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว 7-8% ทำให้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยมีอัพไซด์ที่ค่อนข้างจำกัด

ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในระยะกลางถึงยาวมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนระยะสั้น รวมถึงต้องเลือกหุ้นที่ทำธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก แต่หุ้นไทยค่อนข้างมีภูมิคุ้มกันที่ดีในระดับหนึ่ง คือ ไม่มีภาระหนี้จากต่างประเทศสูง มีกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่กังวลคือบริษัทที่ต้องรับออเดอร์จากต่างประเทศจะถูกชะลอคำสั่งซื้อหรือไม่

ด้าน ภากร ปีตธวัชชัย ผู้จัดการตลาดหุ้น มองหุ้นไทยช่วงนี้มีความผันผวนสูง แนะนักลงทุนติดตามปัจจัยภายในและนอกประเทศใกล้ชิด สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ใช่แค่ไทย และทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ซึ่งคาดว่าระยะสั้นจะสร้างความผันผวนมากขึ้น ฉะนั้นช่วงนี้อยากให้นักลงทุนให้คอยติดตามข้อมูล และต้องมีความเข้าใจในสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วย

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทหุ้นไทยนั้น บริษัทที่มีการกระจายความเสี่ยงรายได้ในหลายประเทศ, บริษัทที่พึ่งพิงการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันค่อนข้างสูง จากการศึกษา บจ.ทั้งหมดพบว่าสัดส่วนเกือบ 46% มีรายได้ที่มาจากหลายประเทศ จึงทำให้ผลกระทบมีจำกัด!!

อินเด็กซ์ 51