มติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น SPCG อนุมัติจ่ายปันผล 1.20 บาท หลังผลประกอบการปี 2561 กวาดรายได้ตามเป้า พร้อมลุยธุรกิจ 2562 ต่อเนื่องจาก 2 ธุรกิจหลัก จัดแพ็กเกจขานรับนโยบายโซลาร์รูฟภาคประชาชน ตั้งเป้ากวาดรายได้เพิ่ม 7 พันล้านบาท
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท 11 กรุงเทพฯ ได้มีมติอนุมัติจัดสรรกำไรและจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท และได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม 2561 - 3 มิถุนายน 2561 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้ ในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 633,093,500 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลในวันที่ 12 มีนาคม 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคม 2562
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 7,000 ล้านบาท เติบโตจาก 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) และธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ Solar Roof ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ปี 2018 ในส่วนของโซลาร์ภาคประชาชน จำนวน 100 เมกะวัตต์ นอกจากจะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าไฟฟ้าในเวลากลางวันได้แล้ว ครัวเรือนที่สามารถผลิตหน่วยไฟฟ้าได้เกินกว่า การใช้งานยังสามารถจำหน่ายให้ภาครัฐได้ด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวและมีความต้องการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาหรือ Solar Roof มากขึ้นในปีนี้
ดร.วันดี กล่าวด้วยว่า SPCG มีความพร้อมนโยบายโซลาร์ภาคประชาชนจำนวน 100 เมกะวัตต์ โดยการออกแพ็กเกจราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจติดตั้งโซลาร์รูฟ จะสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 6 ปี อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่สนใจติดตั้งระบบโซลาร์รูฟ ควรเลือกผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่มีความมั่นคง เพราะอายุการใช้งานของแผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้นยาวนาน 20 – 30 ปี ซึ่งระบบอุปกรณ์ทุกชิ้นต้องมีประวัติการใช้งานมายาวนาน และต้องเน้นในเรื่องความปลอดภัยต่อการใช้งานด้วย โดย SPCG เลือกใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์คุณภาพสูงจาก Kyocera Corporation ประเทศญี่ปุ่น ใช้เครื่องแปลงไฟฟ้า (Inverter) จาก SMA ประเทศเยอรมนี และทีมงาน EPC ที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ SPCG ก็มีประสบการณ์มานานนับ 10 ปีแล้ว ดังนั้นการเลือกผู้ประกอบการที่จะดำเนินเรื่องระบบโซลาร์รูฟควรเลือกที่คุณภาพเป็นสำคัญ.