นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยแผนการดำเนินงานระยะยาวของตลาดหุ้นไทย จนถึงปี 66 จะมีโอกาสขึ้นไปเทียบเท่ากับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยตั้งเป้าหมายมีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) เฉลี่ยอยู่ที่ 30 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 16.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 150% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากปัจจุบันอยู่ที่ 108% ของจีดีพี และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 95,000 ล้านบาท จากเดือน ม.ค.62 อยู่ที่ 47,421.36 ล้านบาท
ขณะที่แผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระยะ 3 ปี ตั้งแต่ปี 62-64 จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและต่อยอดธุรกิจใหม่ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ผ่าน 4 กลยุทธ์ ได้แก่ ขยายขอบเขตการทำธุรกิจ ด้วยการขยายฐานผู้ลงทุนไปยังจังหวัดเมืองรอง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (ดีซีเอ) ผ่านการลงทุนหุ้นและกองทุนรวม ให้ความรู้การลงทุนรองรับการเกษียณอายุ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพัฒนาเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนแบบครบวงจร
“เราจะก้าวสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบด้วยการสร้างแพลตฟอร์มแบบเปิดที่ครบวงจร ต่อยอดการเข้าถึงกองทุนรวม เพื่อการซื้อขายกองทุนข้ามประเทศ การชำระเงินระหว่างบริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนแบบข้ามธนาคาร และพัฒนาบริการเพิ่มเติม เพื่อ ให้การเปิดบัญชีเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ รวมถึงเชื่อมโยงต่างประเทศเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ตลาดทุน และยังเตรียมสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้ตลาดทุนไทย”
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางจะลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการและกฎเกณฑ์ โดยสร้างแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อให้บริการแบบครบวงจร เริ่มจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทั้งด้านรับหลักทรัพย์ การดูแลบริการหลังการซื้อขาย การพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และจะขยายสู่ผู้ร่วมตลาดอื่นๆในอนาคต เพื่อลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เกิดความคล่องตัว ลดค่าใช้จ่ายของอุตสาหกรรมตลาดทุนทั้งระบบ ขณะเดียวกันจะปฏิรูปกฎเกณฑ์และขั้นตอนการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ ปรับรูปแบบธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มในตลาดทุน โดยจัดกลุ่มธุรกิจเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจหลัก ธุรกิจใหม่และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาตลาดทุนระยะยาว.