ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (11 ต.ค.) เป็นอีกวันที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วงลงแรงอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยดัชนีปิดตลาดที่ 1,682.89 จุด ลดลง 38.93 จุด มูลค่าการซื้อขาย 82,888.83 ล้านบาท โดยต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดถึง 10,562.16 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 1,047.58 ล้านบาท กองทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,702.56 ล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 9,907.19 ล้านบาท
ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงในทันทีที่เปิดตลาดกว่า 40 จุด และระหว่างวันร่วงไปต่ำสุดกว่า 46 จุด หลังดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คืนวันพุธลดลงกว่า 832 จุด ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ดัชนี S&P500 ร่วงลง 3.29% และ Nasdaq ดิ่ง 4.08% หนักสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ดัชนี MSCI AsiaPac ลดลงรุนแรงถึง 4% นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นและฮ่องกง ที่เป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชีย โดยดัชนีนิเคอิดิ่งลง 3.5% ดัชนีฮั่งเส็งฮ่องกงร่วง 3.27% ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตดิ่งลง 6.4% ด้านหุ้นเอเชียอื่นๆ ร่วงอย่างหนักเช่นกัน ทั้งไต้หวัน, เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลดลงของตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ที่หลายประเทศก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน เป็นผลจากการที่จีนขายพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งมีผลตอบแทนสูง ทำให้เกิดการโยกเงินจากตลาดหุ้นเข้าไปในตลาดพันธบัตร ทำให้หุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยตกลง อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นที่พักที่ปลอดภัยหรือ Safe Haven ในสายตานักลงทุน ดัชนีจึงไม่ตกมาก และขออย่าตื่นตระหนก
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า หุ้นไทยที่ปรับตัวลง เป็นไปตามปัจจัยต่างประเทศ และปรับลดลงน้อยกว่าตลาดส่วนใหญ่ในภูมิภาค เชื่อว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น โดยควรติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หุ้นไทยที่แดงทั่วกระดานวานนี้ (11 ต.ค.) นั้น เกาะกระแสไปกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ดิ่งลงอย่างหนัก แรงกดดันหลักมาจากต่างประเทศ แต่ก็มีปัจจัยภายในประเทศเข้ามาผสมโรงด้วยคือ กระแสข่าวที่กังวลว่ารัฐบาลอาจไม่ต่ออายุการลดหย่อนภาษีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เนื่องจากแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนในประเทศ ส่วนหนึ่งมาจาก LTF และแรงจูงใจหลักคือการได้ลดหย่อนภาษี ดังนั้น หากไม่ต่ออายุลดหย่อนภาษีให้น่าจะมีผลต่อเม็ดเงินลงทุนมากพอสมควร
ขณะที่ค่าเงินบาทวานนี้ ปิดตลาดที่ 32.75-32.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าจากเม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรไทย.