บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะจับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน แนะหาจังหวะเข้าหุ้นไทย เศรษฐกิจได้ดีปัจจัยบวกหนุน พร้อมเตือนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-share และหุ้นเกาหลี
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้จะได้รับความผันผวนจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีจากจีนเพิ่มขึ้น เพื่อลดการขาดดุลทางการค้า ทำให้จีนมีการตอบโต้โดยจะขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
ในขณะผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด และมีมุมมองที่ดีขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แนะนำให้ระมัดระวังลงทุนในตลาดที่มีสัดส่วนของรายได้จากการค้าโลกในระดับสูง ซึ่งอาจโดนแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยงของนักลงทุน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้ชะลอการลงทุนหุ้นจีน A-share จากสงครามการค้าที่เริ่มรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ โดยหลังจากสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าหลายชนิดจากจีน จีนก็ได้มีการตอบโต้โดยการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่นกัน ทำให้ตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงสูงอยู่ และยังแนะนำให้ชะลอการลงทุนหุ้นเกาหลี
จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของเดือนที่ผ่านมาของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ออกมาชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเกาหลีมีแนวโน้มชะลอลง นอกจากนี้ สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่รุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกสูง
ทั้งนี้ แนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสมหุ้นไทย หลังจากตลาดปรับตัวลงจากความกังวลต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ดี คาดว่าการปรับลดค่าธรรมเนียมจะมีผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มธนาคารค่อนข้างจำกัด ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น จะช่วยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ
สำหรับหุ้นยุโรปเราก็แนะนำให้ทยอยสะสม หลังจากราคาได้ลงมามากแล้ว ในขณะที่สหรัฐฯ ได้ยกเว้นการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมสำหรับทวีปยุโรป ทำให้ยุโรปไม่โดนผลกระทบจากการขึ้นภาษีในครั้งนี้ โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นยุโรป small cap ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นใหญ่ในช่วงค่าเงินยูโรแข็งค่าแนะนำ และให้ทยอยสะสมหุ้นจากตลาดหุ้นเกิดใหม่
ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น ช่วยสนับสนุนผลประกอบการบริษัท ขณะที่ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่ยังคงอ่อนค่าจะช่วยสนับสนุน fund flow ให้เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่
สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทย แนะนำเพิ่มการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน เพื่อเพิ่มผลตอบแทน เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีอัตราผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ เงินเฟ้อไทยยังคงต่ำกว่ากรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย
ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำคงการลงทุนตราสารหนี้ high yield สหรัฐฯ และ หุ้นกู้เอกชนต่างประเทศ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวปรับตัวลงหลัง FED ไม่ได้เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น
ด้านสินทรัพย์ทางเลือกแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมทองคำ จากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นโยบายลดภาษี รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไว้มากแล้ว ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ขาดปัจจัยหนุนให้แข็งค่า นอกจากนี้ นักลงทุนควรถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวน
นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้ทยอยสะสมน้ำมัน หลังจากตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ในขณะที่ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC จะเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาน้ำมัน