ฤกษ์ดีปีใหม่ หุ้นไทยทะยานขึ้นทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นไทยมา 43 ปี โดยทำสถิติใหม่สูงสุดที่ 1,778.53 จุด ต่างชาติและกองทุนในประเทศแย่งกันเข้าซื้อชุลมุน ท่ามกลางเงินบาทที่แข็งโป๊กในรอบ 32 เดือน แบงก์กรุงศรีฟันธง 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯเอาไม่อยู่ แนะผู้ประกอบการส่งออก–นำเข้า ล็อกเป้าค่าเงินปิดความเสี่ยง
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ม.ค.วันทำการแรกของปี 61 ปรากฏว่ามีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น ดันดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จนทุบสถิติจุดสูงสุดเดิมที่ตลาดหุ้นไทยเคยทำไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.37 ที่ระดับ 1,753.73 จุด จึงถือว่าดัชนีหุ้นไทยวันนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ตลาดหุ้นก่อตั้งและเปิดการซื้อขายมาในปี 18 หรือเปิดทำการมา 43 ปีแล้ว
โดยดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 ม.ค.61 ปิดที่ระดับ 1,778.53 จุด ปรับขึ้น 24.82 จุด หรือ 1.42% จากสิ้นปี 60 ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายรวม 88,076.86 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,694.79 ล้านบาท ผสมโรงด้วยกองทุนในประเทศซื้อสุทธิ 2,105.45 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยฉวยโอกาสขายทำกำไร โดยขายสุทธิออกมา 4,571.71 ล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 228.53 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวมของตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 18.17 ล้านล้านบาท เทียบกับมูลค่ามาร์เก็ตแคป 3.3 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ม.ค.37
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่า การปรับขึ้นของตลาดแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการ ทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพยขอแนะนำให้ผู้ลงทุนพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมศึกษาข้อมูลของบริษัท และติดตามข่าวทั้งในและต่างประเทศที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นไทยปีนี้จะมี 3 สิ่งใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลบวกต่อการปรับขึ้นของดัชนีคือ 1.วงจรการลงทุนรอบใหม่ โดยเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ทุกตัวจะเป็นบวกหมด โดยเฉพะการลงทุนภาครัฐและเอกชน 2.การเลือกตั้งครั้งใหม่ มองว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในเดือน พ.ย. และจากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าในปีที่มีการเลือกตั้ง กระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าลงทุนหุ้นไทยมักเป็นบวก 3.หุ้นไทยจะปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ โดยนอกจากปัจจัยหนุนในประเทศแล้ว ปัจจัยภายนอกยังเอื้อให้หุ้นไทยสามารถขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ไม่ยาก ทั้งสภาพคล่องและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดหุ้นไทยก็ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ฝั่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไทยเปิดตลาดวันแรกของปี โดยนางสาวรุ่ง สงวน–เรือง ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันแรกของปี 61 ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งสุดในรอบ 32 เดือน นับจากเดือน เม.ย.58 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมองค่าเงินบาทสัปดาห์แรกของปีเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.58 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง กรุงศรีมองว่ามีโอกาสแข็งค่าหลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสิ้นปีนี้ได้เห็นค่าเงินบาทแข็งค่าไปอยู่ที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าควรปิดความเสี่ยงค่าเงินบาทที่ผันผวน”
ด้านนายธิติ ตันติกุลนันท์ ผู้บริหาร สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทไทยปีนี้ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้น แต่ระดับการแข็งค่าน้อยกว่าปี 60 โดยประเมินว่าค่าเงินจะแข็งค่าไปแตะ 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ.