เผลอนิดเดียวก็เข้าสู่เดือน ก.ค.กันแล้ว ซึ่งอีกไม่กี่อึดใจก็จะเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่สิ้นปีแล้ว ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่ชอบเรียกกันว่า หุ้นไทย ก็ผันผวนและหวือหวาพอสมควร ทั้งขึ้นทั้งลง ซึ่งก็เป็นไปตามปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ที่เข้ามากดดันการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีแรก เรามักจะได้ยินว่า ปี 60 นี้จะได้เห็นดัชนีหุ้นไทยไปแตะที่ 1,600 จุด อย่างแน่นอน 'ไทยรัฐออนไลน์' จะพาไปดูว่ามีความเป็นได้มากน้อยแค่ไหนที่จะเห็นดัชนีหุ้นไทยที่ 1,600 จุด และปัจจัยใดที่จะสนับสนุนให้ดัชนีทยานไปตามเป้าที่ตั้งไว้
บลจ.ทาลิส ให้กรอบหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,450-1,750 จุด
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาส 2/60 ถึงแม้จะชะลอตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.84 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิ ภาคการส่งออกและการลงทุนของรัฐ รวมถึงการท่องเที่ยว ตลอดจนการฟื้นตัวของรายได้เกษตรจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเกินระดับ 1,600 จุด ได้ในปีนี้
"ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะทั้งแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และโดยเฉพาะกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/60 ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง จะมีส่วนผลักดันดัชนีตลาดหุ้น ปรับตัวเกินระดับ 1,600 จุดในปีนี้ได้ ทั้งนี้ บลจ.ทาลิส คาดว่ากำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนตลอดทั้งปี 60 นี้ จะสามารถแตะระดับ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการทำสถิติใหม่ได้"
ทั้งนี้ คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ยังอยู่ในทิศทางที่เป็นขาขึ้นเคลื่อนไหวในกรอบ 1,450-1,750 จุด ขณะที่หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เนื่องจากมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากปีที่ผ่านมา
บลจ.กสิกรไทย ให้กรอบสิ้นปีแตะ 1,650 จุด
ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ และประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก รวมทั้งการลงทุนและการเบิกจ่ายงบประมาณที่คาดว่าจะมีการเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังขยายตัวใกล้เคียงกับที่คาดไว้ โดยบริษัทประเมินตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2560 ไว้ที่ประมาณ 3.3-3.4% ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตอยู่ที่ 3.5%
ส่วนมุมมองการลงทุนในหุ้นไทย เชื่อว่ายังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้ โดยบลจ.กสิกรไทย คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปลายปีอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังคงต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศที่อาจมีผลกระทบต่อการลงทุน
ทั้งนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมไปถึงปัจจัยด้านนโยบายการเงินของ Fed ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาค และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ในระยะสั้น
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทย บลจ.กสิกรไทย ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง และเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาครัฐในครึ่งปีหลัง รวมถึงภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บล.ทิสโก้ ชี้ดัชนีทะลุเหนือ 1,600 จุด ยังต้อง 'ซื้อตาม'
วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามทิศทางของตลาดหุ้นโลก แต่เป็นการปรับลดลงอย่างจำกัด โดยให้แนวรับอยู่ที่ 1,550-1,530 จุด จากนั้นดัชนีจะทยอยปรับตัวขึ้นในระยะเวลาอีก 2 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดโลก (Laggard) โดยในช่วงครึ่งปีแรกให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ระดับเพียง 2.6% เท่านั้น ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในกลุ่ม TIP ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ขณะที่ ผลตอบแทนในตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะกองทุนที่เป็น Asia Pacific ex Japan เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย ให้อัตราผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 14% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้อัตราผลตอบแทนประมาณ 9% ยกเว้น NASDAQ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 13% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปให้ผลตอบแทนประมาณ 8-9% ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาส Outperform ในครึ่งปีหลัง จากทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น และกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) ไหลเข้า
"หุ้นไทยยัง Laggard อยู่มาก โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาสถานะการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นการขายสุทธิ เพราะ Fund Flow เลือกไหลเข้าไปไต้หวัน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วงครึ่งหลักของปี 2560 การลงทุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐจะเดินหน้ามากขึ้น เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) หรือกระทั่งการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น"
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2560 จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสม โดยมีแนวรับที่ 1,550 และ 1,530 จุด และในช่วงปลายปีหากดัชนีหุ้นไทยขึ้นทะลุเหนือ 1,600 จุด ยังแนะนำให้ ซื้อตาม และถือยาว หรือเล่นสั้นขายทำกำไร ช่วงก่อนการประชุมเฟดในช่วงต้น ก.ย. หรือต้น ธ.ค. 60
ทั้งนี้ ให้แนวต้านในระยะนี้ที่ 1,600-1,620 จุด และคงเป้าหมายที่ 1,650 จุด ในกลุ่มหุ้นเด่นที่อิงนโยบายการลงทุนของภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท การค้า การส่งออก และหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ