ระเบิดเวลา “ดีเซล” ขึ้นราคา สินค้าจ่อขึ้น

นับจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ยอมให้ขยับเพดานการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจาก 30 บาทต่อลิตร เป็นไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ถึงวันนี้ผ่านมาไม่ถึงเดือน ดีเซลปรับขึ้นไปแล้ว 4 รอบ ขึ้นมาอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร

และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยังไม่แน่ใจว่า ราคาดีเซลจะแตะ 33 บาทต่อลิตรเร็วแค่ไหน และที่สำคัญเมื่อแตะเพดานแล้ว รัฐบาลจะเลือกตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 33 บาทต่อลิตรนานแค่ไหน หรือจะขยายเพดานราคาให้สูงขึ้นไปอีก เพราะราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 34-35 บาทต่อลิตร

แน่นอนว่า ผลกระทบของราคาดีเซลที่ขยับขึ้น หลังจากตรึงราคามายาวนาน ซ้ำเติมค่าครองชีพคนไทยโดยตรง ที่สำคัญยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมจากการขอขึ้นราคาสินค้าบริการ ค่าขนส่งและค่าโดยสารรถสาธารณะของภาคเอกชนที่จะอ้างต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากดีเซลเป็นน้ำมันทางเศรษฐกิจมีการใช้สูงถึง 70 ล้านลิตรต่อวัน เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินที่ใช้วันละ 20-22 ล้านลิตร

เห็นได้จากภาคเอกชน นำโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กลุ่มรถบรรทุก โดยสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ออกมาแสดงความกังวลต่อการขึ้นราคาน้ำมันดีเซล เพราะกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ต้นทุนค่าขนส่ง นอกจากนั้น น้ำมันดีเซลยังเป็นน้ำมันหลักในด้านการเกษตร ซึ่งกระทบต่อเกษตรกรโดยตรง

เมื่อเป็นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะตัดสินใจ “ปลดล็อก” การตรึงราคาดีเซล เพราะจะสร้างแรงกระเพื่อมสูงมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตว่า เหตุผลในการยอมให้ขยับราคาดีเซลครั้งนี้ของรัฐบาล ไม่ได้มาจากวิกฤติสถานการณ์ราคาในตลาดโลก แต่เกิดจากวิกฤติสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันที่อยู่ในภาวะ “ถังแตกซ้ำซาก”

โดยตัวเลข ณ วันที่ 12 พ.ค. ฐานะกองทุนติดลบ 110,296 ล้านบาท และคนกองทุนน้ำมันเอง ก็ยอมรับว่าสถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง หากเกิดวิกฤติพลังงานในตลาดโลกซ้ำซ้อนขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน อาจจะได้เห็นกองทุนน้ำมันหมดหน้าตักไม่สามารถไปช่วยอุดหนุนราคาดีเซลได้อีก

เพราะแค่ภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินที่ไปกู้เพื่อพยุงราคาน้ำมันก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่เดือนละ 200-250 ล้านบาท และในเดือน พ.ย.นี้ ยังต้องทยอยจ่ายเงินต้นคืนหนี้ที่กู้จากครั้งก่อน 105,333 ล้านบาทอีกด้วย ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าจะใช้เงินส่วนไหนมาชำระหนี้เหล่านี้ นอกจากนั้น ตัวช่วยหลักของการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ทำควบคู่มาตลอด ซึ่งก็คือ มาตรการลดภาษีดีเซล ก็สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อ 19 เม.ย. โดยกระทรวงการคลังยังไม่มีทีท่าจะต่อมาตรการออกไปอีก

แต่เมื่อถึงจุดวิกฤติจริงๆ เชื่อว่าการกลับมาใช้ “มาตรการลดภาษีดีเซล” น่าจะเป็นคำตอบของรัฐบาลอีกครั้ง เพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่จะลด 1 บาทต่อลิตร หรือกี่บาทนั้น คงต้องดูความจำเป็นกันต่อไป เพื่อตรึงต้นทุนสินค้า และบริการ ไม่ให้ซ้ำเติมค่าครองชีพที่สูงขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

จากมาตรการตรึงราคาดีเซลระยะสั้น วันนี้ลากยาวมาเกือบ 10 ปี กลายเป็นปัญหาดินพอกหางหมู ซึ่งรัฐบาลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่หากปล่อยให้ “ราคาดีเซล” ขึ้นไป ก็จะกระทบต่อค่าครองชีพ ต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องหา “ทางลง” ที่เหมาะสม โดยไม่ปล่อยให้กองทุนน้ำมันรับภาระจนล้มละลาย.

มิสเตอร์พี

คลิกอ่าน "กระจก 8 หน้า" เพิ่มเติม