การประชุม ครม.วันอังคาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมว่า ครม.มีมติช่วยเหลือประชาชนด้านพลังงานและภาคธุรกิจ 8 มาตรการ ทั้งมาตรการใหม่และขยายมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนออกไปอีก 3 เดือน เช่น ตรึงราคาเอ็นจีวีที่ 15.59 บาท/กก. ตรึงราคาเอ็นจีวีสำหรับแท็กซี่โครงการลมหายใจเดียวกันที่ 13.62 บาท/กก. ตรึงราคาก๊าซแอลพีจีที่ 408 บาทต่อถัง (15 กก.) ขยายส่วนลดก๊าซแอลพีจีให้ร้านค้าแผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/เดือน ขยายส่วนลดซื้อก๊าซแอลพีจีของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อุดหนุนน้ำมันดีเซลคนละครึ่งส่วนที่ราคาเกิน 35 บาท คงค่าการตลาดน้ำมันดีเซล 1.40 บาท/ลิตร
มาตรการใหม่ที่น่าสนใจคือ ลดภาษีเพื่อส่งเสริมการบริโภคและการจ้างงาน 6 เดือน ให้กับบริษัทที่มีการ จัดฝึกอบรม จัดสัมมนา จัดนิทรรศการ จัดการแสดงสินค้าในประเทศ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สนับสนุนห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว สนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ตั้งแต่ 15 ก.ค.–31 ธ.ค.2565 ถือเป็น มาตรการแรกที่รัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานและส่งเสริมเศรษฐกิจได้ตรงเป้า ไม่ใช่กู้เงินมาแจกกันเป็นล้านๆแต่ไม่สร้างงานสร้างเศรษฐกิจ
ที่เซอร์ไพรส์ก็คือ นายกฯแถลงว่า ได้ขอความร่วมมือจากโรงกลั่นน้ำมันนำส่งกำไรส่วนหนึ่งส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อลดภาระค่าน้ำมันให้กับประชาชน ทั้งดีเซลและเบนซินเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม-กันยายน เรื่องนี้ผมขอแสดงความชื่นชม คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ รัฐมนตรีพลังงาน และชื่นชม โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 6 แห่ง ที่แสดงน้ำใจช่วยเหลือประชาชนในยามยาก คนไทยจนกันทั้งประเทศจะกำไรกลุ่มเดียวก็กระไรอยู่ในสหรัฐฯกำลังจะมีการออกกฎหมายเก็บภาษีกำไรส่วนเกินจากบริษัทน้ำมัน
รองนายกฯสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยถึงการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน 6 แห่ง เพื่อหาข้อสรุปการนำกำไรส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า คาดว่าจะได้ข้อยุติภายในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขกำไรของโรงกลั่นที่จะส่งเข้ากองทุนน้ำมันกำลังหารือกันอยู่ อย่าไปกดดันอะไร ให้เขาหารือให้ได้ข้อสรุปตัวเลขที่เหมาะสมรับได้ทั้งสองฝ่าย อาจจะน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท ส่วนจะเป็นวิธีการใด ต้องไปดูช่องทางกฎหมายว่าจะใช้ช่องทางใด ตอนนี้เรายังไม่อยากใช้อำนาจไปบังคับ เป็นเรื่องของความร่วมมือ โจทย์ใหญ่คือแผนระยะยาว ตอนนี้เหลือน้ำมันดีเซลตัวเดียว ส่วนเบนซินเป็นไปตามกลไกราคาตลาด
น้ำมันแพง ไม่เพียงประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สหรัฐอเมริกาก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมี นายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เป็นผู้ร้ายตัวจริง ที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นทั่วโลก จากการวางแผนการยั่วยุให้เกิดสงครามรัสเซียยูเครน และสั่งคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียทุกช่องทาง โดยมี อังกฤษ ยุโรป เป็นลูกสมุน ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซแพงขึ้นทั่วโลก ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นไปกว่า 110 เหรียญต่อบาร์เรล กระทบไปถึงราคาอาหารก็แพงขึ้นทั่วโลก ทำให้เดือดร้อนกันทั่วโลก โดยเฉพาะคนยากจน แล้วย้อนกลับไปทำร้ายชาวอเมริกันเอง ราคาพลังงานและอาหารในสหรัฐฯแพงลิ่ว ทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี ชาวอเมริกันด่าผู้นำกันทั้งประเทศ
สัปดาห์ที่แล้ว นายรอน ไวเดน ประธานคณะกรรมาธิการด้านการเงินวุฒิสภาสหรัฐฯ แถลงว่า วางแผนที่จะเสนอ กฎหมายเรียกเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Surtax) จากกำไรส่วนเกินของบริษัทน้ำมัน โดยจะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 21% จากบริษัทน้ำมันและก๊าซที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรมากกว่า 10% ของไทยใช้วิธีนิ่มนวลเจรจาช่วยเหลือกัน
วิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสงครามรัสเซียยูเครน วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก วิกฤติอาหารแพงทั่วโลก ล้วนเกิดจากแผนการอันชั่วร้ายของสหรัฐฯที่ต้องการครองโลก ด้วยการสร้าง New World Order หรือ ระเบียบโลกใหม่ ที่มี สหรัฐฯเป็นผู้ชี้นิ้วสั่งแต่เพียงผู้เดียว จากการแถลงของผู้นำสหรัฐฯ แต่โลกวันนี้มันไม่ง่ายอย่างที่ ผู้นำเฒ่าสหรัฐฯ คิดแล้ว.
“ลม เปลี่ยนทิศ”