นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นเหตุให้ความต้องการใช้พลังงานลดลง ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงตลอดจนค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อยไตรมาส 1 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 25,571 ล้านบาท ลดลง 7,017 ล้านบาท หรือ 21.5% จากไตรมาส 1 ปี 2564 ที่จำนวน 32,588 ล้านบาท และลดลง 1,973 ล้านบาท หรือ 7.2% จากไตรมาส 4 ปี 2564 ที่จำนวน 27,544 ล้านบาท
นายอรรถพลกล่าวว่า เนื่องจากในไตรมาส 1 มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้นมาก โดยหลักจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ ที่ราคาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก อันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่หลายๆประเทศมีการประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังรวมถึงมีภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น แม้ว่ารายได้จากการขายและกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จะเพิ่มขึ้น ตามรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลก รวมถึงปริมาณขายโดยรวมที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายของโควิด-19 ทั้งนี้ กำไรสุทธิเป็นผลการดำเนินงานรวมจากบริษัทในเครือทั้งในและต่างประเทศ โดยสัดส่วนกำไร 30% มาจากการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของ ปตท. และ 70% มาจากผลตอบแทนการลงทุนในบริษัทในกลุ่ม ปตท.
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา โครงการ “ลมหายใจเดียวกัน” กลุ่ม ปตท. ได้มีส่วนร่วมดูแลด้านสาธารณสุขและการสนับสนุนด้านพลังงาน รวม 3,793 ล้านบาท โดยปัจจุบัน ปตท. คงสถานะหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุก จนถึงหน่วยคัดกรองโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจรที่ EnTer ตั้งแต่เปิดให้บริการเดือน ส.ค.2564 มีผู้มารับบริการ 125,500 ราย มีผู้ป่วยที่รับเข้าระบบรักษา 12,000 ราย.