ยังเป็นขาขึ้นต่อไปสำหรับราคาทองคำไทย ที่วันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 300 บาท จนราคาทองคำแท่งทะลุ 41,500 บาท แรงหนุนสำคัญจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น ทั้งปัจจัยดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะกดดัน รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เฮลิคอปเตอร์ตก ซึ่งมีประธานาธิบดีอิหร่านและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ประสบอุบัติเหตุ
ทำให้เกิดแรงกว้านซื้อทองคำของธนาคารใหญ่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับโลก ได้เข้าซื้อทองคำ เพื่อสะสมหนีความผันผวนด้วย ทำให้ในระยะสั้น อาจเป็นไปได้ว่า ราคาทองคำจะทดสอบ 42,200 บาทต่อบาททองคำในไม่ช้า
วายแอลจีชี้ เผยหลังทองคำร้อนแรงทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังนักลงทุนกังวลภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งกองทุนขนาดใหญ่เข้าซื้อทองคำปริมาณมาก ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มจับตาตลาดทองคำอีกครั้ง เหตุช่วยลดความผันผวนของพอร์ต โดยเฉพาะช่วงที่เงินเฟ้อทรงตัวระดับสูง เชื่อปีนี้ราคาทองคำมีโอกาสขึ้นถึงเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 2,500-2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนระยะสั้นคาดทองคำมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้น มองการเคลื่อนไหวในกรอบ 2,397-2,478 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ด้านทองคำไทยมองกรอบ 40,800-42,200 บาทต่อบาททองคำ
พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ทำจุดสูงสุดใหม่ล่าสุดที่ระดับ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ในวันที่ 20 พ.ค. 2567 ณ เวลา 12.50 น. โดยการปรับขึ้นมาครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่แสดงความชัดเจนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ พบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้ปรับสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน และผลักดันความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีเบื้องหลังมาจากช่วงต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เช่น ตลาดแรงงาน ยอดค้าปลีก และตัวเลขที่อยู่อาศัยบางส่วน รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่รายงานว่า ดัชนี CPI และ Core CPI ของสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดการณ์ สู่ระดับ 0.3%
นอกจากนี้จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และด้านภูมิรัฐศาสตร์ ก็ยังส่งผลให้ธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลก ยังคงมีนโยบายเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกองทุนทองคำขนาดใหญ่ก็ยังคงเข้าซื้อทองคำ โดยล่าสุด บริษัท ไซออน แอสเซท แมเนจเมนท์ (Scion Asset Management) ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ระดับโลก ได้เข้าซื้อ ETF ทองคำในปริมาณมหาศาลถึง 7.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนในพอร์ตเป็น 7.4% สูงสุดเป็นอันดับ 5 ในบรรดาสินทรัพย์ทั้งหมด จากก่อนหน้านี้ที่ไม่เคยลงทุนในทองคำมาก่อน
ทั้งนี้ ในระยะสั้นทองคำมีแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติม ขานรับสถานการณ์อุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ซึ่งมีประธานาธิบดีอิหร่านและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน โดยล่าสุดเช้าวันนี้ (20 พ.ค. 2567) สื่อของรัฐอิหร่านได้รายงานยืนยันการเสียชีวิตของทั้งสองท่าน ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น แม้ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอุบัติเหตุจากสภาพอากาศ หรือการก่อการร้าย
อย่างไรก็ดี สำหรับการปรับตัวขึ้นมาของทองคำในครั้งนี้ วายแอลจี ยังคงเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้ที่ 2,500-2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เนื่องจากหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานที่หนุนทองคำในปีนี้ ยังคงมีสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสนับสนุนทองคำที่แข็งแกร่ง และโดยเฉพาะความต้องการทองคำในระยะยาวที่มั่นคงของธนาคารกลางทั่วโลกเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี เป็นแรงหนุนสำคัญ นอกจากนี้ยังมีประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่หากภายในปีนี้สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้จริง ก็จะส่งผลให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปถึง 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
“การที่กองทุนต่างๆ เข้าซื้อทองคำ ส่วนหนึ่งก็เป็นการพิสูจน์ว่าทองคำยังมีโอกาสให้ไปต่อ ซึ่งการถือครองทองคำนอกจากจะตอบโจทย์ทั้งด้านการลงทุนระยะสั้น และในช่วงเกิดวิกฤติก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย ทำให้นักลงทุนเริ่มเข้ามาถือครองทองคำในพอร์ต และส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการป้องกันความผันผวนของพอร์ต โดยเฉพาะในภาวะที่เงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง” นางพวรรณ์ กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของทองคำในระยะสั้น วายแอลจีมองว่าหลังจากที่ราคาขึ้นทำ All Time High ครั้งใหม่ที่ระดับ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แรงขายยังคงเข้ามากดดันอย่างจำกัด จึงมีโอกาสที่จะยังทรงตัวอยู่ได้ในระดับสูง โดยให้แนวรับที่ 2,418-2,397 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้านที่ 2,478 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนทองคำแท่ง 96.50% ในประเทศ มองกรอบการเคลื่อนไหวที่บริเวณ 40,800-42,200 บาทต่อบาททองคำ