ราคาทองคำยังไปต่อ รับถ้อยแถลงของประธานเฟด แนะแบ่งขายทำกำไรที่บริเวณแนวต้าน 27,900 บาทต่อบาททองคำ และ 28,050 บาทต่อบาททองคำ
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 64 นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG กล่าวว่า หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแบบก้าวกระโดด เมื่อท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ผลการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ได้แถลงว่ามีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปี 64
อย่างไรก็ตาม การที่เฟดไม่ได้กำหนดเวลาการปรับลด QE ที่แน่นอนเพราะยังต้องจับตาดูทิศทางของการระบาดของโควิด-19 ที่ยังน่าเป็นห่วง รวมการประชุมครั้งนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณโดยตรงถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดีตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นอย่างเร็วในปลายปี 2566
นอกจากนี้เหตุระเบิดที่กรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย กองกำลังสหรัฐฯ จึงเริ่มปฏิบัติการทางอากาศอีกครั้งทำให้เกิดความกังวลและส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำจากกรณีที่นายหยิน หยูปิง รองผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านการเงินของธนาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า บิตคอยน์และสกุลเงินคริปโตอื่นๆ ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และไม่มีการสนับสนุนด้านมูลค่าที่แท้จริง
สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั้นยังมีแรงส่งให้เคลื่อนไหวในทิศทางบวก แต่ก็ต้องอาศัยปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเติมโดยในระยะสั้นจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา ขณะที่การเปิดเผยตัวเลขสำคัญในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้นำทิศทางราคาทองคำในระยะถัดๆ ไป
ดังนั้นนักลงทุนต้องการเข้าซื้อในช่วงนี้แนะนำให้รอจังหวะการย่อตัว สามารถใช้แนวรับที่ 1,807 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หรือ 27,600 บาทต่อบาททองคำ และ 1,789 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หรือ 27,350 บาทต่อบาททองคำ ถ้าราคายืนระดับนี้ได้ก็มีโอกาสรีบาวด์
แนะนำให้แบ่งขายทำกำไรเป็นระยะหากราคาทองคำยังไม่สามารถทะลุแนวต้านระยะสั้นที่ 1,823 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หรือ 27,900 บาทต่อบาททองคำ โดยจะมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,833 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หรือ 28,050 บาทต่อบาททองคำ