ตลาดหุ้นไทยต้นปี 2568 ปรับตัวลดลงอย่างหนัก จากกระแสของเงินทุนต่างชาติยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทย และในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับแรงกดดันกับวิกฤติความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง เกิดแรงเทขายอย่างหนัก ในขณะเดียวกันมีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่ครบอายุ พร้อมที่จะขายออกมามากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าหลายกองทุนยังขาดทุนอยู่ในกว่า 20% ครั้นจะถือต่อก็กังวลว่าดัชนีจะลงลึกมากกว่านี้หรือไม่ แต่ถ้าจะขายออกมาก็ขาดทุน แบบนี้ควรจะทำอย่างไร Thairath Money หาคำตอบมาให้แล้ว
เชาวน์กร โชติบัณฑ์ Executive Vice President, Head of Investment Strategy MFC Asset Management มองว่า การครบกำหนดของเม็ดเงินารครบกำหนดของเม็ดเงินจากกลุ่มกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่มียอดเงินลงทุนประมาณ 2.40 แสนล้านบาท ที่จะสามารถขายคืนออกมาได้ทั้งหมด
โดยมีการคาดการณ์ว่าจะเริ่มทยอยขาย LTF ออกตั้งแต่ช่วงเดือนม.ค. 2568 เป็นต้นไป ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร ถ้ามีการขายคืนเกิดขึ้นจริง ควรจะขายออกก่อนแล้วไปลงทุนในกองทุน ThaiESG กับ RMF หรือ ควรถือลงทุน LTF ต่อ เรามีมุมมองดังนี้
ด้านมุมมองต่อเม็ดเงินกองทุน LTF ที่ครบกำหนดนั้น ในช่วงต้นปี 2568 นี้ คาดว่าอาจจะมีนักลงทุนทยอยขายกองทุน LTF ออกไปบางส่วนเท่านั้น แต่เชื่อว่ามีจำนวนไม่มากนัก เพราะว่าดัชนีหุ้นไทย ณ ปัจจุบันยังคงต่ำกว่าดัชนีที่ 1,600 จุด ที่ซึ่งเป็นต้นทุนเดิมของนักลงทุนที่ลงทุน LTF และในส่วนปัจจัยราคาของดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index ณ วันที่ 3 ม.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 14.13 เท่า อยู่ใกล้เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ที่บริเวณ -1S.D. โดยกรอบในปี 2568 นี้ ภายใต้ EPS อยู่ที่ 97 บาทต่อหุ้น ดัชนีเป้าหมายในปี 2568 (Base Case) อยู่ที่ 1,514 จุด
1. ถ้าผู้ลงทุนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในช่วงที่เงินลงทุนครบกำหนดแล้ว ก็สามารถที่จะขายคืนได้ตามปกติ
2. ถ้าผู้ลงทุนยังไม่มีความจำเป็นรีบร้อนใช้เงิน คำแนะนำให้ถือ “ ลงทุนต่อ ” เนื่องจากปัจจัยตลาด ณ ปัจจุบัน เรามองดัชนี SET Index ค่อนข้างจะมี Downside จำกัด
3. สำหรับผู้ต้องการใช้สิทธ์ลดหย่อนภาษี สามารถขายกองทุน LTF ออกก่อนแล้วไปลงทุนในกองทุน ThaiESG กับ RMF เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีต่อในปีหน้าได้
ทั้งนี้ มุมมองทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 1 ปี 2568 ดัชนีมีโอกาสจะเคลื่อนไหว Sideways ภาพรวมระยะสั้นคาดว่าดัชนียังคงแกว่งตัวในทิศทางบวกและลบสลับกัน เนื่องจากปัจจัยบวกใหม่ภายในประเทศยังมีค่อนข้างจำกัด และนักลงทุนติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาลไทยเพื่อหวังช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนเพิ่มเติม อาทิเช่น โครงการ Easy E-receipt ที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ที่คาดว่าเริ่มใช้ภายในเดือนม.ค. 68 เป็นต้น
สำหรับปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยที่คาดว่าจะได้รับจาก กระแสเงินทุนนักลงทุนต่างชาติที่อาจจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก Valuation ที่น่าสนใจ แม้ว่าในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. 67 จะมียอดการขายสุทธิอยู่ที่ -52,370.22 ลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศกลับซื้อสุทธิที่ 46,521.17 ล้านบาท ถ้านับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 ธ.ค. 67 มียอดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยสุทธิอยู่ที่ -147,940.15 ล้านบาท และถ้ามองหาปัจจัยบวก จะได้แก่ ตัวเลขภาวะการค้าระหว่างประเทศ (การส่งออก) ประจำเดือนพ.ย. ของไทยที่ยังขยายตัวได้ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง
และถ้ามาดูปัจจัยจากต่างประเทศที่อาจส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักไปที่การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค. 68 นี้ เพื่อติดตามนโยบายลดภาษีและแนวทางนโยบายด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐที่อาจจะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย รวมถึงติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ที่ซึ่งปัจจุบันนี้ตลาดคาดการณ์ว่าการประชุมในวันที่ 28-29 ม.ค 68 เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25-4.50 เช่นเดิม และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่การประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 4/67 ด้วย ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็รอการประกาศผลประกอบการเช่นกัน
ดังนั้นเราจึงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น (0-3 เดือน) เป็น Neutral และระยะยาว (6-12 เดือน) ให้น้ำหนักเป็น Overweight