นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุม ครม.สัปดาห์หน้า จะมีการนำเสนอการปรับเงื่อนไขการลงทุนในกองทุน TESG ส่วนการเพิ่มเงินลงทุนในกองทุนวายุภักษ์นั้น คาดว่าจะนำเข้า ครม.เร็วๆนี้ เชื่อว่าทั้ง 2 กองทุนจะช่วยสร้างสภาพคล่องให้ตลาดหุ้นได้มากขึ้น โดยกองทุน Thai ESG นั้น คาดว่าเม็ดเงินจะเข้าตลาดหุ้นได้ปลายปีนี้ เพราะเป็น
กองทุนที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่กองทุนวายุภักษ์นั้น จะเป็นการขยายจากกองเดิมคือ ประเภท ข. ซึ่งรัฐลงทุนเองทำได้รวดเร็วกว่า ส่วนกองประเภท ก.จะเปิดให้รายย่อยซื้อหน่วยลงทุน โดยการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% หากกองทุนมีผลตอบแทนต่ำกว่า 3% ก็ต้องนำผลตอบแทนจากประเภท ข.มาสมทบให้จนเต็ม 3% ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมากองทุนประเภท ข.มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น จะนำเงินราว 100,000-150,000 ล้านบาทมาตั้งเป็นกองทุน แล้วขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน ซึ่งเมื่อรวมเม็ดเงินจาก Thai ESG และกองทุนวายุภักษ์แล้ว ประเมินว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดราว 200,000 ล้านบาท และจากเดิมนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มเป็นหักภาษีได้ 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท แต่ต้องถือครอง 5 ปีปฏิทิน จากเดิม 8 ปีปฏิทิน.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่