ความอ่อนไหวทางการเมืองและตลาดทุน

การจับกุมผู้ต้องหา คดีฉ้อโกงระดับประเทศในตลาดหลักทรัพย์ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนแค่ไหนอย่างไร จะต้องมีองค์ประกอบของความเชื่อมั่นในการดำเนินการของ รัฐบาล ก.ล.ต. และ ตลท. ด้วย เมื่อเร็วนี้ กระทรวงการคลัง จับมือกับ ก.ล.ต.-ตลท. แถลงมาตรการขับเคลื่อน ตลาดทุนไทย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นการฟื้นตัวตลาดหุ้นให้กลับคืนมา หลังจากมี นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นไทยต่อเนื่องเฉลี่ยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อเดือน

เพื่อที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนให้ได้ตามเป้าหมาย 5.3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง แถลงว่า คลังเตรียมเสนอการปรับเงื่อนไข กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thai ESG Fund ส่งเสริมการออมผ่านการลงทุนในตลาดทุน เพื่อเป็นการกระตุ้นเม็ดเงินในตลาดทุนระยะยาว ซึ่งจะมีการปรับเงื่อนไขในการลงทุน 3 เรื่องคือ การขยายวงเงินไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิมไม่เกิน 1 แสนบาท จากหลักการที่ว่า เงินลงทุนในกองทุนรวมระยะยาว หรือ LTF ทุก 1 หมื่นล้าน จะส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย 25-27 จุด เป็นทางเลือกสำหรับการออมให้กับกลุ่มคนอายุน้อย อาชีพอิสระ และกลุ่มคนวัยเกษียณ

ปรับระยะการถือครอง 5 ปี เพื่อดึงดูดกลุ่มคนอายุน้อย และ การขยายนโยบายการลงทุน ส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการที่สร้างความยั่งยืนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

คาดว่าจะทำให้มี เม็ดเงินลงทุน เข้ามาใน 4-5 เดือนสุดท้ายไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท และมองว่าจะเป็นเทรนด์ในอนาคต
ที่มีแนวโน้มการเติบโตจาก ธุรกิจที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก การปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG อาจทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 1.3 หมื่นล้าน เมื่อคำนวณจากฐานผู้เสียภาษีใช้สิทธิลดหย่อนเต็มเพดาน นอกจากนี้คลังยังมีแนวคิดที่จะฟื้น กองทุนวายุภักษ์ ที่มีอยู่แล้ว 2 กองทุน สำหรับรายย่อยมีวงเงินอยู่แล้ว 3.5 แสนล้าน กองทุนวายุภักษ์ 3 ในอนาคตจะขายให้ประชาชนทั่วไป คาดจะมีวงเงินในการระดมทุนอีกประมาณ 1.5 แสนล้าน สามารถสร้างสภาพคล่องในตลาดทุนกว่า 5 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของบรรดา บริษัทหลักทรัพย์ ยังมองว่า การเมือง จะทำให้หุ้นไทยตกต่ำไปแตะที่ระดับ 1,200 จุด เนื่องจากมีชนวนการเมืองและคดีการเมืองที่สำคัญรออยู่อีกหลายคดีด้วยกัน ซึ่งมองว่าหุ้นไทยติดลบนานเกินไป

ส่วนจะเกาถูกที่คัน สามารถสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหลักทรัพย์ไทยกลับคืนมาได้หรือไม่นั้น ตราบใดที่การเมืองยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและเป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลมีปัญหาเรื่องการระดมทุนที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ถึงกับต้องระดมทุนจากเงินออมในประเทศ ด้วยการออกหวยเกษียณ กองทุนวายุภักษ์ 3 หรือจูงใจจากการเปิดขายกองทุนต่างๆ ในสภาพที่คนไทยอยู่ในภาวะหาเช้ากินค่ำ ลำพังข้าวสารจะกรอกหม้อยังลำบาก คนรุ่นใหม่มีแนวทางการลงทุน ประเภทเงินดิจิทัลมากกว่าจะมาลงทุนในตลาดทุน การจะเปลี่ยนพฤติกรรมของนักลงทุนกลุ่มคนอายุน้อยเป็นเรื่องยาก การขายกองทุนจึงเป็นตลาดของกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า โดยมีสภาพการออมที่จำกัด

ตราบใดรัฐบาล ผู้นำรัฐบาล ยังสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้ ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจก็ยังไม่นิ่ง.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม