ในส่วนของ Goldman Sachs ในการประชุมวันแรก (14 ม.ค.) Goldman Sachs มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2025 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโต 2.5% จากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเติบโตของรายได้ที่แท้จริง ขณะที่จีนจะเติบโต 4.5% แม้จะเผชิญความท้าทายจากการส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนยุโรปคาดว่าจะเติบโตเพียง 0.8% จากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงและความตึงเครียดทางการค้า ด้านนโยบายการเงิน Fed คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 ECB จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึง 1.75% และ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย 0.5%
สงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นในปี 2025 จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแตกต่างกัน โดยการขึ้นภาษี 10% กับทุกสินค้าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว 1% และเงินเฟ้อพุ่งถึง 3% แต่หากขึ้นภาษีเฉพาะกับจีน 20% และรถยนต์จาก EU ผลกระทบจะน้อยกว่า โดยเงินเฟ้อจะขึ้นสูงสุดที่ 2.5% นอกจากนี้ ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนมีแนวโน้มตึงเครียดขึ้น โดยเฉพาะในมิติเทคโนโลยี แต่สหรัฐประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมชิป โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการผลิตชิปขั้นสูง 28% ภายในปี 2032
ในการประชุมวันที่สอง (15 ม.ค.) Rob Kaplan อดีตประธาน Fed ดัลลัส คาดว่า Fed จะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนมกราคม แต่อาจพิจารณาในเดือนมิถุนายน พร้อมแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของดอกเบี้ยสูงต่อผู้มีรายได้น้อยและการขาดดุลงบประมาณที่ 6% ของ GDP ขณะที่นักวิเคราะห์ GS คาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 20% และอาจเก็บภาษีรถยนต์จากยุโรป
ด้านโอกาสการลงทุน Goldman Sachs มองว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอีก 4-5% และแนะนำให้ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตเชิงโครงสร้าง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย ซึ่งมี P/E ต่ำกว่าสหรัฐ 25% โดยตลาดหุ้นสหรัฐคาดว่าจะเติบโต 11% จีน 20% ส่วนยุโรปยังมีความท้าทาย และกลุ่ม Magnificent 7 คาดว่าจะให้ผลตอบแทนส่วนเกินลดลงจาก 30% เหลือ 7%
ในส่วนของ INVX เรามองว่า ปี 2024 และ 2025 ปี 2024 เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเศรษฐกิจโลกปี 2025 มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะ Soft Landing นำโดยสหรัฐฯ ที่คาดว่าเศรษฐกิจชะลอลงสู่ 1.9% และเงินเฟ้อจะลดลงมาอยู่ที่ 2.5-2.7% ส่วนเศรษฐกิจจีนแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวเหลือ 4.5% แต่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดการเงิน ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโตเพียง 2.7% จากเดิมที่คาด 3.0% เนื่องจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่เร่งผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ในปี2025 เรามองว่า จะเป็นปีสุดท้ายแห่งการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเรามองว่า ปี 2025 ธนาคารกลางขนาดใหญ่จะทำนโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นปีสุดท้าย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะสามารถลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในครึ่งปีแรก ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจลดถึง 4 ครั้งท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ด้านญี่ปุ่นกลับตรงข้าม โดย ธนาคารกลาง (BOJ) อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน พ.ค. ส่วนดอกเบี้ยไทย เรามองว่า ธปท มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 0.75% ในเดือน ก.พ. มิ.ย. และ ต.ค. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
นอกจากนั้น กำแพงภาษีของทรัมป์ทำได้ไม่เร็วเนื่องจากการทำสงครามการค้าคือการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบลำดับแรกขึ้นชาวอเมริกัน ที่ต้องนำเข้าสินค้าราคาแพงขึ้น ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ต้องทำ คือการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งก่อน ซึ่งจะทำได้ด้วยการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% สู่ 15% ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก และอาจต้องรอไปถึงช่วงปลายปี 2025 แต่ Trump 2.0 อาจใช้ Non-Tariff Barrier เข้าโจมตีไทย เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประเด็น Currency Manipulator และ การบังคับการนำเข้าหมูเนื้อแดงจากสหรัฐ
INVX คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2024-2025 อย่างไร เศรษฐกิจไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว 2.7% ใกล้เคียงกับปี 2024 โดยเราปรับประมาณการลงจาก 3.0% หลังจาก ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ซึ่งบ่งชี้ถึงการไม่เร่งทำโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้สภาวะสภาพคล่องยังคงตึงตัว ทั้งนี้ เรามองว่า การบริโภคภาคเอกชนไทยจะขยายตัว 2.2% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนอาจขยายตัวเพียง 0.5% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มทรงตัว (ไม่เติบโต) ส่วนเงินเฟ้อ เราคาดว่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 0.9% ขณะที่ค่าเฉลี่ยค่าเงินบาทมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปัจจุบัน (ที่เฉลี่ย 35.3 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2024) โดยเรามองว่า เงินบาทจะอ่อนค่าจากช่วง 24 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงต้นปี สู่ 35-36 บาทในครึ่งปีหลัง
ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน เรามองว่า ด้วยความเสี่ยงที่มีสูง ทำให้เรามองว่าให้นักลงทุนรอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการ Easy E-Receipt ช่วงวันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ต แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP