Minna Bank ธนาคารดิจิทัลแห่งแรกของญี่ปุ่น

ช่วงกลางปี 2568 นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท. ซึ่งดำริให้ใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาหรือ Virtual Bank เป็นครั้งแรกในประเทศไทย น่าจะสามารถเปิดเผย 3 รายชื่อผู้ได้รับใบอนุญาตได้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด

การให้ใบอนุญาต Virtual Bank ถือเป็น 1 ในวาระแห่งชาติสำหรับแวดวงการเงินของไทย นอกจากจะเป็นครั้งแรกแล้ว บรรดาผู้เสนอตัวเข้ารับใบอนุญาต ยังเป็นผู้ประกอบการระดับบิ๊กเนมมากหน้าหลายตา ทั้งที่อยู่ในและนอกแวดวงการเงิน ที่สำคัญ Virtual Bank ถูกทำให้เชื่อว่า จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มคนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการด้านการเงินหรือเข้าถึงไม่ได้ (Underserved) เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของคนที่กำลังจมอยู่ในกองหนี้นอกระบบ

ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมี Virtual Bank แห่งแรกในอีกไม่นาน ที่ญี่ปุ่น ธนาคารดิจิทัลไร้สาขาเต็มรูปแบบเปิดให้บริการครั้งแรกไปแล้วเมื่อปี 2564 โดย Minna Bank (มินนะแบงก์) นอกจากจะเป็นธนาคารดิจิทัลแห่งแรกของญี่ปุ่นแล้ว Minna Bank ยังเป็นธนาคารแห่งแรกของโลกที่ใช้ระบบคลาวด์ทั้งหมด โดยพัฒนาขึ้นจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Accenture

Minna Bank ได้รับใบอนุญาตเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 เปิดให้บริการวันที่ 28 พ.ค. 2564 ไม่ต่างจากโมเดลดิจิทัลแบงกิ้งทั่วไป Minna Bank เป็นบริษัทในเครือยักษ์ใหญ่ FFG (Fukuoka Financial Group) มีรากฐานจากธนาคารดั้งเดิมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 140 ปี เป็นกลุ่มการเงินระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีสินทรัพย์กว่า 32.6 ล้านล้านเยน ประกอบด้วยธนาคารดั้งเดิม 4 แห่งในภูมิภาคคิวชู และ Minna Bank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลที่ให้บริการทั่วประเทศ

จุดเริ่มต้นของ Minna Bank เกิดจากการมองเห็นบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารมากมาย พาเหรดเข้ามาในวงการธนาคาร ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นรายเดิม ทีมงานของธนาคารแห่งฟุกุโอกะ (Bank of Fukuoka) ธนาคารหลักของ FFG ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น จึงตระหนักรู้ทันทีว่าจำเป็นต้องเปลี่ยน

“จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการสาขาแบบดั้งเดิมของ FFG ลดลง 40% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 2.4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน” โคจิ โยโกตะ ประธาน Minna Bank กล่าว

จุดเด่นของ Minna Bank อยู่ที่การพัฒนาระบบ Core Banking ใหม่ ผ่านการทำงานร่วมกับ Accenture อย่างเข้มข้น โดยพัฒนาระบบดิจิทัลจากศูนย์ด้วยเทคโนโลยี Multi-cloud และ API ใช้ชื่อระบบว่า AMICA (Accenture Minerva Core Banking Accelerator) ภายใต้โมเดลดังกล่าว ทำให้ Minna Bank ได้รับรางวัลระบบนานาชาติมากมาย อาทิ Red Dot Award 2021 ด้าน Best Apps Category และ Brand Design & Identity Category

นอกจากให้บริการลูกค้าทั่วไป (B2C) ได้แก่ บริการบัญชีเงินฝาก, บัตรเดบิตเสมือน และสินเชื่อดิจิทัลแล้ว ยังมีบริการสำหรับลูกค้าองค์กร (B2B2X) ตั้งแต่ Banking-as-a-Service (BaaS), SaaS จำหน่ายระบบ Core Banking ให้ธนาคารที่ต้องการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล นอกจากนั้นยังพัฒนาระบบการชำระเงินที่เรียกว่า A2A Payment ซึ่งเป็นการชำระเงินโดยตรงระหว่างธนาคารและพันธมิตรผ่าน API โดยมีรูปแบบหลัก ได้แก่ ชำระเงินผ่านร้านค้า, การเติมเงิน e-Wallet, การชำระเงินสำหรับ e-commerce และการชำระเงินแบบรายเดือน เช่น ค่าเบี้ยประกัน

ปัจจุบันในจำนวนลูกค้าของ Minna Bank ที่ 1.1 ล้านบัญชี (จนถึง ก.ย. 2567) กว่า 72% เป็นลูกค้าเจนดิจิทัล ช่วงอายุ 10-30 ปี ส่วนลูกค้าช่วงวัย 40 ปีมีประมาณ 28% ในจำนวนลูกค้าทั้งหมดเป็นเพศชาย 61% เพศหญิง 36%

แม้มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองฟูกุโอกะ แต่ความเป็นดิจิทัลแบงก์ทำให้สามารถให้บริการได้ทั่วประเทศ ลูกค้าของ Minna Bank ส่วนใหญ่ 34% จึงอยู่บริเวณเมืองหลวงโตเกียว ที่เหลืออยู่ในภูมิภาคคันไซ 18% และคิวชู 14%

Minna Bank มีหนี้เสียอยู่ที่ประมาณ 5% ต่ำกว่าคู่แข่ง Non-Bank (ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร) ทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่เฉลี่ย 13% และตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าเป็น 5 ล้านบัญชีในอีก 3 ปีข้างหน้า แม้เปิดดำเนินการมากำลังจะครบ 5 ปี แต่ Minna Bank ยังมีขาดทุนสะสมอยู่ที่ 9,000 ล้านเยน (ประมาณ 1,900 ล้านบาท) โดยผู้บริหารมองว่าเป็นปกติของธุรกิจดิจิทัลแบงก์ ซึ่งต้องรอผลงอกเงยในระยะยาว

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี" ได้ที่ 
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney