กระสุนเงิน หรือ สเต็มเซลล์? หน้าที่ภาคการเงินกับซอมบี้ธุรกิจไทย

Experts pool

Columnist

Tag

กระสุนเงิน หรือ สเต็มเซลล์? หน้าที่ภาคการเงินกับซอมบี้ธุรกิจไทย

Date Time: 9 มี.ค. 2567 09:30 น.

Video

เปิดทริกวางแผนการเงิน เพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพ

Summary

  • ซอมบี้ธุรกิจ เปรียบได้กับธุรกิจที่ยังเอาตัวรอดด้วยการก่อหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการชำระคืน เหมือนผีดิบที่เดินได้แต่ไร้วิญญาณ บทบาทหน้าที่ของภาคการเงินการธนาคารในการรับมือกับซอมบี้ธุรกิจไทย จึงควรเป็นการสร้างเสริม “สเต็มเซลล์” ในการฟื้นฟูเยียวยาให้ซอมบี้ธุรกิจกลับมาเป็นปกติ โดยอาจใช้กระสุนเงินประกอบเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อร้ายเพื่อป้องกันการลุกลาม

Latest


 “The Social Responsibility of Business Is to Increase Its Profits”
Milton Friedman, นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1976

ประโยคข้างต้นที่ถูกกล่าวขานกันว่าเป็น หลักของฟรีดแมน (A Friedman’s Doctrine) สะท้อนนัยของตลาดเสรีนิยมที่มุ่งให้ความสำคัญกับการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมองภาคธุรกิจเป็นศูนย์รวมของทรัพยากรทั้ง ที่ดิน ทุน และแรงงาน ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงทำหน้าที่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อแสวงกำไร และที่สำคัญคือ ‘การใช้กำไร’ เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระบบเศรษฐกิจ ส่งคืนผลตอบแทนสู่เจ้าของทรัพยากร ซึ่งก็คือสังคมโดยรวม


เมื่อคิดตามหลักดังกล่าวแล้ว ภาคธุรกิจที่เผชิญข้อจำกัดและไม่สามารถทำกำไรได้อย่างเหมาะสม ย่อมไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่มีต่อสังคมด้วยเช่นเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศพัฒนาแล้วเช่น สหรัฐอเมริกาจึงให้ความสำคัญกับการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวด และธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เคยอธิบายว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.08% ในเดือน ต.ค. 2564 มาสู่ 5.33% ในเดือน ต.ค. 2566 มีส่วนทำให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธการกู้เพิ่มของธุรกิจซอมบี้ (Zombie firm) จนทำให้มีสัดส่วนต่อจำนวนธุรกิจทั้งหมดลดลงตามลำดับ 


ซอมบี้ธุรกิจ เปรียบได้กับธุรกิจที่ยังเอาตัวรอดด้วยการก่อหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการชำระคืน เหมือนผีดิบที่เดินได้แต่ไร้วิญญาณ กล่าวคือยังประกอบการต่อไปได้แต่ไม่ได้เป็นไปตามสภาพธุรกิจและแน่นอนว่าไม่สามารถทำกำไรสูงสุดได้

นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) เคยมีผลการศึกษาว่า ในประเทศที่มีซอมบี้ธุรกิจอยู่มากจะยิ่งส่งผลให้ผลประกอบการทางการเงินของธุรกิจปกติลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ประเทศที่มีสถาบันการเงินเข้มแข็งและมีนโยบาย Macroprudential เข้มงวดมักจะมีจำนวนซอมบี้ธุรกิจน้อยและมีธุรกิจปกติที่มีศักยภาพทางการเงินสูง 


สำหรับกรณีศึกษาของประเทศไทยเอง SCB EIC ได้ทำการเกาะติดวิเคราะห์ตัวเลขซอมบี้ธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้นิยามซอมบี้ธุรกิจว่า เป็นธุรกิจที่มีอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest coverage ratio : ICR) ต่ำกว่า 1 เท่า กล่าวคือ มีค่าใช้จ่ายในการชำระคืนดอกเบี้ยสูงกว่ารายได้ก่อนชำระคืนดอกเบี้ยและภาษี ติดต่อกันเป็นเวลา 3 รอบปีบัญชี และมีอายุบริษัท 10 ปีขึ้นไป

และพบว่า สัดส่วนของซอมบี้ธุรกิจไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษก่อนที่จะเกิดวิกฤติ COVID-19 จาก 7.6% ในปี 2552 เป็น 9.1% ในปี 2562 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2550 ที่ 9.0% ซึ่งในปี 2565 สัดส่วนซอมบี้ธุรกิจของธุรกิจขนาดย่อยสูงถึง 18.5% ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดใหญ่มีสัดส่วนซอมบี้ธุรกิจไม่ถึง 5%

สอดคล้องกับดัชนีรายได้ภาคธุรกิจรวมฟื้นตัวอยู่ที่ 117.4 (เทียบกับรายได้ภาคธุรกิจ ณ ปี 2562 ที่ระดับดัชนีเท่ากับ 100) แต่ส่วนใหญ่มาจากการฟื้นตัวของธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดกลางที่ระดับดัชนี 120.8 และ 103.5 ตามลำดับ

ขณะที่ธุรกิจขนาดย่อมและขนาดย่อยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ สะท้อนจากระดับดัชนีฟื้นตัวมาอยู่ที่ 99.2 ตัวเลขเหล่านี้ สะท้อนว่าธุรกิจขนาดย่อมและขนาดย่อยเผชิญกับปัญหาความสามารถในการจ่ายชำระดอกเบี้ยสูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก รวมถึงการฟื้นตัวของรายได้ค่อนข้างช้ากว่าบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้เห็นว่าธุรกิจขนาดย่อมและขนาดย่อย มีแนวโน้มจะเกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้สูง และถ้าหากธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรลดลงเป็นเวลานานอาจทำให้กลายเป็นซอมบี้ธุรกิจได้


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ น่าสังเกตว่าซอมบี้ธุรกิจไทยมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งข้อมูลข้างต้นอ้างอิงจากธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลของกระทรวงพาณิชย์ จึงยังไม่นับรวมธุรกิจครัวเรือนหรือที่เรียกรวมๆ ว่าธุรกิจนอกระบบอีกจำนวนมาก ซึ่งน่าจะพออนุมานได้ว่าอาจจะมีสัดส่วนซอมบี้ธุรกิจสูงกว่าธุรกิจในระบบ

ดังนั้น ทางเลือกในการใช้กลไกการเงินการธนาคารเป็น “กระสุนเงิน” เพื่อชำระล้างซอมบี้ธุรกิจเช่นเดียวกับในประเทศพัฒนาแล้ว น่าจะไม่เหมาะสมนักกับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทย ที่ในระดับย่อยแล้ว คงจะไม่สามารถแยกส่วนองค์ประกอบของการประกอบการตามหลักของฟรีดแมนผ่านการปิดกิจการลงแล้วเอาทรัพยากรไปเปิดกิจกรรมใหม่เพื่อสร้างกำไรสูงสุดต่อไป

เพราะเราคงไม่ได้สามารถปิดธุรกิจครอบครัว หรือแยกส่วนคนทำงานในครัวเรือน ทุน หรือรถรา ตึกรามบ้านช่องออกจากกันเพื่อไปตั้งต้นประกอบธุรกิจใหม่ได้ง่ายนัก


บทบาทหน้าที่ของภาคการเงินการธนาคารในการรับมือกับซอมบี้ธุรกิจไทย จึงควรเป็นการสร้างเสริม “สเต็มเซลล์” ในการฟื้นฟูเยียวยาให้ซอมบี้ธุรกิจกลับมาเป็นปกติ โดยอาจใช้กระสุนเงินประกอบเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อร้ายเพื่อป้องกันการลุกลาม แต่เสริมสร้างเซลล์ดีมาช่วยฟื้นสภาพภาพรวมของธุรกิจ ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวนี้ เงื่อนไขตั้งต้นสำคัญ คือ การที่ซอมบี้ธุรกิจต้องยอมรับแนวคิด ‘สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ปรับตัว เชื่อมต่อ’ ผ่านการมองหาพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม ซึ่งในที่นี้ก็คือ การทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจจริงและภาคการเงินนั่นเอง


ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ภาคธุรกิจจริงจะแน่ใจได้อย่างไรว่าภาคการเงินกำลังร่วมกันสร้างสเต็มเซลล์ ไม่ได้กำลังบรรจุกระสุนเงินใส่หลอดฉีดยาเพื่อชำระล้างซอมบี้ธุรกิจด้วยการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อหลังจากรับทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของซอมบี้ธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงของตนเอง สะท้อนปัญหาคุณภาพของการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินที่ไม่สามารถเป็นข้อต่อที่เชื่อมภาคการเงินเข้ากับภาคเศรษฐกิจจริงได้ จนไทยมีความเข้มแข็งของภาคเศรษฐกิจจริงน้อยกว่าภาคการเงิน


ดังนั้น การมีกลไกเชิงสถาบันสำหรับการปฏิรูปนโยบายสาธารณะผ่านองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ ได้แก่

1. การสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจที่เป็นกลไกและแรงจูงใจให้ผู้ดำเนินนโยบายสาธารณะฟังเสียงของประชาชน

2. การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และตัดสินนโยบายสาธารณะร่วมกัน

เป็นคำตอบภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างเสาหลักทางเศรษฐกิจทั้งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เป็นผู้วางแผนใหญ่ของประเทศ กระทรวงการคลังที่ขับเคลื่อนนโยบายการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำกับดูแลการให้บริการทางการเงิน ผ่านการเปิดโอกาสให้เกิดการรับรู้เพื่อเข้าถึงและเข้าใจผู้ใช้และผู้ให้บริการทางการเงิน อย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนมีการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากเครื่องมือทางเทคโนโลยีดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) เพื่อให้ซอมบี้ธุรกิจสามารถเปิดเผยตัวตนเข้ารับการฟื้นฟูตามแนวทางที่เหมาะสม สถาบันการเงินเองก็สามารถบริหารความเสี่ยงได้ภายใต้การทำงานร่วมกับผู้กำกับดูแล ขณะที่นโยบายการคลังและนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยก็สามารถเดินหน้าผลักดันให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน


** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **

ติดตามข่าวสารอัปเดต เศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในประเทศ บทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ล่าสุด ได้ที่นี่

ข่าวเศรษฐกิจ : https://www.thairath.co.th/money/economics


เศรษฐกิจในประเทศ : https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

เศรษฐกิจโลก : https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ
รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร