โลกไปได้ ไทยยังเสี่ยง ลงทุนอย่างไร

Experts pool

Columnist

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์

Tag

โลกไปได้ ไทยยังเสี่ยง ลงทุนอย่างไร

Date Time: 25 ก.พ. 2567 07:00 น.

Video

บุกโรงงาน PANDORA ช่างไทยผลิตจิวเวลรี่ แบรนด์โลกแสนล้าน | On The Rise

Latest


เศรษฐกิจการลงทุนในช่วงต้นปี 2024 ดูเหมือนจะมีทิศทางที่ยังคล้ายกับในช่วงปี 2023 ในปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นที่เติบโตดี ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงอินเดีย ที่ขยายตัวในระดับ 3-15% ขณะที่ตลาดในประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น ไทย ฮ่องกง และจีน หดตัวในระดับ 2-5% 

ภาพเหล่านี้สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ออกมา โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรืออังกฤษ ที่ยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญบางตัว เช่น GDP ยอดค้าปลีก รวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอลงในบางประเทศ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ลดลงหลังจากธนาคารกลางต่างๆ ต่างขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับหลากหลายปัจจัยเสี่ยง ซึ่งอาจสรุปได้ 3 กลุ่ม คือ 

  1. ความเสี่ยงนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางทั่วโลกได้เริ่มดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อขจัดอัตราเงินเฟ้อ ทำให้นำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับระบบการเงิน ตั้งแต่ตลาดตราสารหนี้ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (Commercial Real Estate) ไปจนถึงสุขภาพของธนาคาร

  2. ความเสี่ยงทางการเมืองและความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยประชาชนราว 4 พันล้านคนจะไปลงคะแนนเสียงในปีนี้ พร้อมกับผลที่ตามมาที่คาดเดาไม่ได้


  3. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตั้งแต่ความขัดแย้งตั้งแต่ยูเครนไปจนถึงอิสราเอลและทะเลแดง รวมถึงความเสี่ยงสงครามไต้หวัน ความเสี่ยงต่างๆ ทำให้นักวิเคราะห์พูดถึงคำว่า “polycrisis” หรือวิกฤตการณ์หลายด้าน และ “new world disorder” หรือ ความไร้ระเบียบใหม่ของโลก

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกสามารถเผชิญกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อต้นปี 2023 นักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมดคิดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกจะเกิดขึ้น แต่ GDP ทั่วโลกกลับเติบโตขึ้นประมาณ 3% ในขณะที่ในปัจจุบัน สัญญาณเศรษฐกิจเบื้องต้นบ่งชี้ว่าการเติบโตอาจยังคงดำเนินต่อไปในอัตราเดียวกันในปีนี้ ข้อมูลจาก สำนักวิจัย Goldman Sachs ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีความคึกคักเช่นเดียวกับในปี 2019 การวัดค่า GDP รายสัปดาห์ที่สร้างโดย OECD ก็พบผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน และการวัดกิจกรรมทั่วโลกที่เกิดจากการสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งทั่วโลก

สำหรับด้านความเสี่ยงสำคัญ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์นั้น จนถึงขณะนี้ดูเหมือนจะไม่มีหลักฐานมากนักว่าการโจมตีทางเรือในทะเลแดงกำลังทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา โดยข้อมูล PMI ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตต้องเผชิญกับเวลาจัดส่งที่ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนเส้นทางเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งทำให้การเดินทางระหว่างเซี่ยงไฮ้และรอตเตอร์ดัมเพิ่มระยะทางเป็น 23,000 กม. จาก 18,000 กม. อย่างไรก็ตาม ในเกือบทุกประเทศ ค่าจัดส่งเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของราคาสินค้าโดยรวม ทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

คำถามที่สำคัญคือ เพราะเหตุใดเศรษฐกิจโลกจึงมีภูมิต้านทานต่อสภาวะความไร้ระเบียบของโลกใหม่ (New world disorder) ซึ่งคำตอบน่าจะเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงสามารถลดอัตราเงินเฟ้อจากจุดสูงสุดมากกว่า 10% ทั่วโลกให้เหลือเพียงประมาณ 6% ซึ่งไม่เพียงเพิ่มกำลังซื้อของครัวเรือนเท่านั้น ยังทำให้ความเชื่อมั่นดีขึ้นด้วย หลังจากที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2022 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศเจริญแล้วก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาระต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นถูกลดทอนลงเนื่องจากหนี้ครัวเรือนและหนี้บริษัทจำนวนมากมีอัตราดอกเบี้ยคงที่

จากการวิเคราะห์ของเรา พบว่า ในปัจจุบันความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้นเกินค่าเฉลี่ย โดยดัชนี Geopolitical Risk Index พบว่า ปัจจุบันดัชนีดังกล่าวอยู่ในระดับ 148.3 สูงกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2020- ปัจจุบันที่ 111.4 อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าว ต่ำกว่าช่วงเกิดสงครามรัสเซียยูเครนในปี 2022 ที่ดัชนีพุ่งไปถึงระดับ 300 ขณะที่ความเสี่ยงในเชิงนโยบายเศรษฐกิจของทั่วโลก (Economic Policy Uncertainty Index) ในปัจจุบันอยู่ที่ 254.4 ลดลงจากค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปี ที่ 263.9  ซึ่งสาเหตุที่ค่าดัชนีดังกล่าวลดลง น่าจะเป็นเพราะดอกเบี้ยโลกที่มีทิศทางลดลงต่อเนื่องตามเงินเฟ้อที่ลดลง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง

การวิเคราะห์ พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจ โดยในปัจจุบัน ความเสี่ยงเชิงนโยบายที่ลดลง ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะ polycrisis ก็ตาม ซึ่งเรามองว่า หากสถานการณ์ความเสี่ยงต่าง ๆ ไม่นำไปสู่ภาวะวิกฤตแบบเต็มรูปแบบ เป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัวชะลอลงบ้าง แต่ไม่ลดลงรุนแรง (Soft landing)


อย่างไรก็ตาม เรายังคงระมัดระวัง โดยมองว่าดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อการเติบโตล่าช้า สงครามรัสเซีย-ยูเครนหรือทะเลแดงอาจกระตุ้นให้เกิดความปั่นป่วนในการจัดหาพลังงานอีกรอบ และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงความเสี่ยงสงครามไต้หวัน ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจกระตุ้นให้ GDP เร่งตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจในระยะยาว


ในทางกลับกัน เศรษฐกิจไทยใน ไตรมาส 4 ขยายตัวต่ำกว่าตลาดคาด (ที่ 2.5% ต่อปี) มาก โดยขยายตัวที่ 1.7% ใกล้เคียงกับที่เราคาดที่ 1.8% (ทำให้ทั้งปี 2023 ขยายตัว 1.9%) โดยภาคที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการผลักดันเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว แต่ภาคที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจมาจากภาครัฐเป็นหลัก ทั้งการบริโภคและลงทุน ที่เป็นส่วนทำให้เศรษฐกิจหดตัวถึงกว่า -1.4% (Contribution to GDP growth) ขณะที่ภาคการผลิตสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคการก่อสร้างหดตัวลงต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงภาวะวิกฤตภาคการผลิตที่ลากยาว


เรามีข้อสังเกตเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยอยู่ 4 ประการ (1) GDP ไทยที่หดตัวในไตรมาส 4/23 ที่ -0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนนั้น สอดคล้องกับหลายประเทศที่หดตัวเช่นกัน บ่งชี้ว่าภาคต่างประเทศ แม้จะไม่หดตัวแรง แต่ก็อ่อนแอลง (2) ในช่วงหลัง ภาคการผลิตไทยมีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ผลิต และระบายสินค้าคงคลังต่อเนื่อง แม้จะเริ่มส่งออกได้บ้างก็ตาม ทำให้สินค้าคงคลังเริ่มหมดลง (3) หากเศรษฐกิจโลกเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ (คือจะชะลอลงเข้าสู่ Soft Landing) ในปีนี้ การส่งออก รวมถึงภาคการผลิตของไทย จะยิ่งมีความเสี่ยง และ (4) ปัจจุบัน สินค้าไทยเผชิญกับการทุ่มตลาดจากจีน ทำให้ไทยขาดดุลการค้ามากขึ้น และกว่า 9% ของสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศเป็นการนำเข้าจากจีน (เพิ่มจาก 5% ในปี 2020) ซึ่งหากเป็นไปต่อเนื่อง จะกระทบกับภาคการผลิตของไทย


ด้วยความเสี่ยงต่างๆ ทำให้เราปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ลง โดยเราแบ่งภาพเศรษฐกิจเป็น 2 สถานการณ์ ขึ้นอยู่กับมาตรการ digital wallet เป็นหลัก โดยหากมาตรการผ่าน เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้  3.7% (ชะลอลงจากที่เคยคาดไว้ที่ 4.1%) แต่หากมาตรการไม่ผ่าน เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.8% (ชะลอลงจากที่เคยคาดไว้ที่ 3.2%) ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจสามารถปรับลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง


ทั้งนี้ ในปี 2024 เราจับตา 6 ปัจจัยเศรษฐกิจที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นหรือชะลอลง อันได้แก่ (1) การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวเกินกว่า 1 ปี (2) ปริมาณเงินในระบบ (M2) ที่ขยายตัวต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย (3) เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง และจะติดลบอีก 3 เดือนเป็นอย่างน้อย (4) การลงทุนภาคเอกชน ที่ยังคงหดตัวตามการผลิตภาคอุตสาหกรรม (5) รายได้เกษตรกร ที่มีความเสี่ยงจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่สูญหายจากภาวะภัยแล้ง และ (6) การบริโภคภาคเอกชน ที่องค์ประกอบสำคัญ ๆ เช่น ภาคบริการ ชะลอตัวต่อเนื่อง 


ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากไร้ปัจจัยหนุนใหม่ และอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการไตรมาส 4/2023 ของ บจ.ไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงคงเน้น “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้ 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาในไทยฟื้นตัว ได้ดีต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนองมากนัก เลือก AOT MINT 2) หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยคาดให้เงินปันผล (หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว) เกิน 5% เลือก AP BCP KTB 3) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมาก และราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC 


ขอให้นักลงทุนโชคดี