อินโดนีเซียและมาเลเซียกลายเป็นตลาดที่น่าจับตามองของนักลงทุนทั่วโลก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินเดือนกันยายนนี้ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ ไปยังสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่าลง
นอกจากการปรับทิศทางนโยบายการเงินของเฟดแล้ว การดำเนินนโยบายการคลังที่มุ่งเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) และดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อินโดนีเซียและมาเลเซียดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ หลังจากที่อยู่ภายใต้เงาของคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างอินเดียและจีนมาอย่างยาวนาน
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นสามประเทศในเอเชียที่มีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิในตลาดหุ้น ข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดย Bloomberg ระบุว่า กองทุนทั่วโลกซื้อหุ้นอินโดนีเซียมูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (61,563 ล้านบาท) นับเป็นมูลค่าสูงสุดตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 โดยการซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ซึ่งผลักดันให้ดัชนี Jakarta Stock Exchange Composite Index พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยกระแสการไหลเข้าตลาดพันธบัตรอินโดนีเซียคาดว่าจะสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 สิงหาคม
ด้านตลาดหุ้นมาเลเซีย ต่างชาติเข้าซื้อสุทธิสะสมมูลค่า 491 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (16,000 ล้านบาท) จนถึงวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งคาดว่าจะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจก้าวกระโดดมาสองไตรมาสแล้ว โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากมาเลเซียประกาศเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการผลิตชิป ที่ช่วยดึงดูดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหลายพันล้านดอลลาร์จากบริษัทระดับโลก เช่น Microsoft, Nvidia และ Alphabet
อ้างอิง
ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney