GDP อาเซียน โตแซงหน้า "จีน" ใน 10 ปีข้างหน้า หมดยุค "แรงงานถูก" ดึงดูด FDI ไร้คุณภาพ

Economics

World Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

GDP อาเซียน โตแซงหน้า "จีน" ใน 10 ปีข้างหน้า หมดยุค "แรงงานถูก" ดึงดูด FDI ไร้คุณภาพ

Date Time: 2 ส.ค. 2567 15:06 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • ผลวิจัยเผย GDP อาเซียนจ่อโตแซงหน้าจีน เฉลี่ยปีละ 5.1% ในอีก 10 ปีข้างหน้า สงครามการค้า กดดันธุรกิจย้ายซัพพลายเชนออกจากจีน มาอาเซียน ชี้มาตรการลดภาษี-แจกที่ดิน ดึงดูด FDI ไร้คุณภาพ แนะลงทุนพลังงานสะอาด เร่งการเติบโต

Latest


ปฏิเสธไม่ได้ว่า "อาเซียน" พึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจาก "จีน" เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะด้านการค้า-การลงทุน ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่โตต่ำลงมาอยู่ที่ระดับ 5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ที่โตอยู่ที่ 7-8% เนื่องจากวิกฤติอสังหาฯ บั่นทอนความเชื่อมั่นการบริโภคในประเทศ และสงครามการค้า แม้อาเซียนจะได้รับผลกระทบไม่น้อย แต่ก็เป็นโอกาสทองสำหรับภูมิภาคที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และคนวัยหนุ่มสาวในการดึงดูดทุนข้ามชาติที่กระจายซัพพลายเชนออกจากจีน


รายงาน The Southeast Asia Outlook 2024-2034 ซึ่งร่วมกันจัดทำโดย Angsana Council, U.S. consultancy Bain & Co. and Singapore's DBS Bank คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า อาเซียนจะมีมูลค่าเศรษฐกิจ (GDP) และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แซงหน้าจีน โดย GDP อาเซียน 6 ประเทศหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.1% จนถึงปี 2034 แซงหน้าเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะเติบโตช่วง 3.5-4.5%


โดย GDP เวียดนาม คาดว่าจะนำการเติบโตในภูมิภาค ที่ระดับ 6.6% ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 6.1% ในขณะที่ไทยและสิงคโปร์โตต่ำสุดไม่ถึง 3% ทั้งนี้ความได้เปรียบทางประชากรที่ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว และการกระจายซัพพลายเชนออกจากจีน เป็นปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะศักยภาพการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอย่าง FDI ที่คาดว่าจะแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจาก FDI สุทธิปี 2023 ของหกประเทศเศรษฐกิจหลักอาเซียนที่มูลค่ารวมกัน 2 แสนล้านดอลลาร์ แซงหน้ามูลค่า FDI ของจีน ซึ่งอยู่ที่ 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี


นอกจากนี้ในอนาคตคาดว่าจีนจะเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน แซงหน้าสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ซึ่งครองมูลค่าสูงสุด อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ตามลำดับ


"ไม่ใช่แค่นักลงทุนต่างชาติในจีน แต่นักลงทุนชาวจีนเอง ก็กำลังมองหาลู่ทางย้ายธุรกิจออกนอกประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจํากัดด้านภาษีและความกังวลด้านความปลอดภัย" Charles Ormiston ประธาน Angsana Council กล่าว


อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเติบโต GDP ที่แท้จริง จีนยังนำหน้าอาเซียนอย่างไม่เห็นฝุ่น โดยในอีก 10 ปีข้างหน้า คาดว่า GDP ที่แท้จริงของจีน จะมีมูลค่าอยู่ที่ 154 ล้านล้านหยวน (21 ล้านล้านดอลลาร์) หรือคิดเป็นประมาณ 5 เท่าของ 6 ประเทศอาเซียนรวมกัน นอกจากนี้ในปี 2029 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า GDP ที่แท้จริงของจีน จะคิดเป็น 4.3 เท่าของมูลค่าทั้งอาเซียน

"แรงงานราคาถูก" ดึงดูด FDI ไร้คุณภาพ "พลังงานสะอาด" คือคำตอบ

เพื่อกระตุ้นการเติบโต รายงานแนะนำว่ากล่าวว่า ประเทศต่างๆ ควรจัดลําดับความสําคัญของการลงทุน มุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมเกิดใหม่ ที่เหมาะสมกับศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานในประเทศทั้งแรงงาน และทรัพยากรธรรมชาติ โดยการส่งเสริมระบบนิเวศด้านสตาร์ทอัพ และการเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดทุน จะเป็นกุญแจสําคัญในการจัดหาเงินให้กับทุนให้กับบริษัทใหม่ๆ


ทั้งนี้รายงานเตือนว่า การใช้จุดขายแบบเดิมๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานราคาถูก มาตรการยกเว้นภาษี-สนับสนุนที่ดินตั้งโรงงาน ไม่ได้ช่วยดึงดูด FDI คุณภาพสูง ในทางกลับกัน Ormiston กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมด้านแหล่งพลังงานสะอาด ซึ่งมีต้นทุนต่ำและเชื่อถือได้ จะกลายเป็น "ตัวขับเคลื่อนหลัก" ที่ช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอีกไม่กี่ปีข้าง เนื่องจากบริษัทระดับโลกหันมาให้ความสำคัญกับการลดใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อผลักดัน Net Zero ปัจจุบันอาเซียนยังเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เพื่อผลิตพลังงานราคาถูก ทำให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนด้านพลังงาน แสงอาทิตย์และพลังงานลมในระดับต่ำที่สุดในโลก

อ้างอิง

ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ