ตลาดหุ้นใหญ่ในจีน เตรียมหยุดรายงานข้อมูลปริมาณการซื้อขายสุทธิระหว่างวันของนักลงทุนต่างชาติ เริ่มกลางเดือน พ.ค. นี้ เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อลดความผันผวนของตลาด ในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับความโปร่งใสของข้อมูล
โดยข้อมูลปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติแบบเรียลไทม์ จากตลาดหุ้นฮ่องกงสู่เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นผ่าน Trading Link ที่เชื่อมโยงกระดานการซื้อขายหลักทรัพย์ของฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งหลังจากการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว จะไม่ถูกรายงานต่อสาธารณชน ในชั่วโมงการซื้อขายระหว่างวัน แต่ทางการจะยังคงรายงานข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุน หลังตลาดปิดทำการเช่นเดิม
มาตรการดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดความผันผวน ป้องกันเงินไหลออกจากตลาดหุ้นจีนแล้วยังเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติ การซื้อขายตลาดหุ้นจีน ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียม
โดยผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น กล่าวว่า “ตลาดหุ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา และตลาดที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ไม่มีการรายงานข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติแบบเรียลไทม์ ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย”
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เข้ามามีบทบาทควบคุม ความผันผวนในตลาดหุ้น โดยเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว กองทุนรวมในจีนถูกสั่งให้หยุดรายงานประมาณการมูลค่าทรัพย์สินสุทธิแบบเรียลไทม์ เพื่อผลักดันให้นักลงทุนรายย่อย หันมาลงทุนระยะยาว และลดการเก็งกำไรลง
ทั้งนี้การรายงานการซื้อขายแบบเรียลไทม์ เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้จัดการกองทุน โดยเฉพาะกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการวัดสภาพคล่อง และดำเนินการซื้อขายได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลอ้างอิงที่สื่อในจีนและต่างประเทศ ใช้รายงานความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเวลาการซื้อขาย ทั้งนี้แม้มาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาด แต่ในอีกแง่มุมก็เป็นการบั่นทอนความสามารถในการลงทุนของตลาดหุ้นจีน
แม้ตลาดหุ้นจีนจะซบเซาอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการลงทุนที่อ่อนแอ ทั้งในและต่างประเทศ แต่ล่าสุดวันนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ได้เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน ประเทศ (GDP) ไตรมาสแรกปี 2567 (ม.ค.-มี.ค.) พบว่าขยายตัวอยู่ที่ 5.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าระดับคาดการณ์ 4.6% ของนักเศรษฐศาสตร์ Reuters เป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีน เริ่มทยอยฟื้นตัว
โดยการเติบโตในช่วง 3 เดือนแรก ได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตของจีนที่ปรับดีขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ปรับเพิ่มขึ้น 6.1%
สวนทางกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง 9.5% จากปีที่แล้ว และมียอดขายใหม่ลดลง 27.6% ทั้งนี้วิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์ และแนวโน้มการจ้างงานได้ฉุดกำลังการบริโภคในประเทศให้อ่อนแอลง
อ้างอิง
Bloomberg, Nikkeiasia
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney