โลกหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ได้พลิกชีวิตประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก จากหน้ามือเป็นหลังมือ ข้อมูลจาก World Bank ในปี 2564 พบว่า ตั้งแต่โควิด-19 ประชากร 97 ล้านคนทั่วโลก ถูกผลักให้ตกอยู่ในหลุมความยากจน โดยใช้เงินน้อยกว่า 1.90 ดอลลาร์ต่อวัน ในการดำรงชีวิต ผลักดันให้อัตราความยากจนเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% จาก 7.8% ซ้ำเติมสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำให้แย่ลง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาตักตวงผลประโยชน์ สำหรับกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลก โดยรายงาน inequality inc. ระบุว่าในปี 2566 มหาเศรษฐีพันล้าน รวยขึ้น 34% หรือ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ และคนรวย TOP1% เป็นเจ้าของสินทรัพย์กว่า 34% ของสินทรัพย์ทั่วโลก
แม้เราจะทราบกันอยู่แล้วว่าความเหลื่อมล้ำไม่เคยหมดไปจากโลก แต่ท่ามกลางความรวยที่กระจุกตัวอยู่กับคนไม่กี่กลุ่ม เคยสงสัยกันไหมว่าการจะก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้น ต้องมีเงินเท่าไร ยากง่ายขนาดไหน
Thairath Money ชวนส่องเกณฑ์ความมั่งคั่ง 10 ประเทศ ที่คนรวย TOP 1% มีสินทรัพย์มากที่สุด
ปี 2566 ถือเป็นปีที่ความมั่งคั่งของเหล่าบรรดาอภิมหาเศรษฐี ฟื้นตัวกลับมาท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เผชิญปัจจัยรุมเร้ารอบด้าน ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ เอลนีโญ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
รายงานความมั่งคั่งของไนท์แฟรงค์ (Knight Frank) ระบุว่า ในปี 2566 จํานวนอภิมหาเศรษฐี(UNWI) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 626,619 จาก 601,300 ในปี 2565 การเติบโตของความมั่งคั่งในระดับภูมิภาค นําโดยอเมริกาเหนือที่ 7.2% และตะวันออกกลาง 6.2% โดยลาตินอเมริกาเป็นภูมิภาคเดียวที่มีประชากรที่ร่ำรวยลดลง ทั้งนี้ตุรกีเป็นประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของกลุ่ม UHNWI มากที่สุดที่ 10% รองลงมาคือสหรัฐอเมริกาที่ 8%
ปัจจัยที่ผลักดันให้ความมั่งคั่งในกลุ่ม UHNWI เพิ่มขึ้น มาจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวกลับมาหลังโควิด และความนิยมการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง จากอานิสงส์ดอกเบี้ยขาขึ้น และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI แม้ในช่วงครึ่งปีหลังกระแสดังกล่าวจะแผ่วลง แต่แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาคึกคักอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคนรวยในระดับอภิมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น แต่การจะเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้นั้น ยากกว่าการเข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนรวย TOP1% ของโลกเสียอีก เนื่องจากคนรวย TOP1% มีความมั่งคั่งไม่ถึง 30 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่คนที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐี จะต้องมีความมั่งคั่ง 30 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป
ข้อมูล ณ ไตรมาส4/2566 พบว่า ยุโรปยังเป็นภูมิภาคที่มีเกณฑ์ความมั่งคั่ง ของคนรวย 1% สูงสุด โดยประเทศ 10 อันดับแรก ที่มีเกณฑ์ความมั่งคั่งของคนรวย TOP1% สูงสุด ประกอบด้วย
อันดับ 1 โมนาโก มูลค่าความมั่งคั่ง 12,883,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 2 ลักเซมเบิร์ก มูลค่าความมั่งคั่ง 10,832,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 3 สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าความมั่งคั่ง 8,509,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา มูลค่าความมั่งคั่ง 5,813,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 5.สิงคโปร์ มูลค่าความมั่งคั่ง 5,227,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 6.สวีเดน มูลค่าความมั่งคั่ง 4,761,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 7 ออสเตรเลีย มูลค่าความมั่งคั่ง 4,673,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 8 นิวซีแลนด์ มูลค่าความมั่งคั่ง 4,574,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 9 ไอร์แลนด์ มูลค่าความมั่งคั่ง 4,321,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 10 เยอรมนี มูลค่าความมั่งคั่ง 3,430,000 ล้านดอลลาร์
โดยโมนาโกยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศที่มีเกณฑ์ความมั่งคั่งสูงที่สุด ที่ 12.9 ล้านดอลลาร์ หากจะกล่าวว่าที่นี่มีแต่คนรวยคงจะไม่ผิดนัก เนื่องจากมีมูลความมั่งคั่งต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก ที่ 2.4 แสนดอลลาร์ ในขณะที่อันดับ 4 อย่างสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีเหล่าอภิมหาเศรษฐี อาศัยมากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของจำนวนอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก ด้านสิงคโปร์ตัวแทนหนึ่งเดียวจากอาเซียน ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 โดยคนรวย 1% ในสิงคโปร์นั้น มีความมั่งคั่งมากกว่าคนในจีน ถึง 5 เท่า
ที่มา
อ่านข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney