วันที่ 4 มี.ค. 2567 ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น Nikkei225 ทุบสถิติสูงสุดใหม่ ทะลุ 40,000 จุด โดยได้รับแรงหนุนส่วนใหญ่จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากกระแสความต้องการปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2567 ปิดตลาดเหนือระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 39,098 จุด เพิ่มขึ้น 836.52 จุดหรือ 2.19% จากวันก่อนหน้า
โดยดัชนีปรับเพิ่มขึ้น 198.41 จุด หรือ 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 40,109.23 จุดในการปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา นำโดยหุ้นของบริษัท Tokyo Electron และ Advantest ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น 2.4% และ 3.7% ตามลําดับ
ทั้งนี้ปัจจัยที่หนุนให้ดัชนี Nikkei 225 ทุบสถิติอย่างต่อเนื่อง หลักๆ มาจากความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ซึ่งได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินเยน ทำให้บริษัทญี่ปุ่นรับรู้รายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น
จากการรวบรวมของ Nikkei พบว่า บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ประมาณ 610 แห่ง ทั้งบริษัทในภาคการผลิตและนอกภาคการผลิต มีกำไรสุทธิ 9 เดือน (เมษายน-ธันวาคม 2566) เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ประกอบกับก่อนหน้านี้ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ได้ประกาศปรับโครงสร้าง มาตรการกำกับดูแลตลาดหุ้น โดยกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (Book Value) ต้องเสนอแผนเพื่อเพิ่มมูลค่าตลาด ยิ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนว่าหุ้นญี่ปุ่นจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น
ริวตะ โอทสึกะ (Ryuta Otsuka) นักยุทธศาสตร์ของบริษัทหลักทรัพย์โตโย (Toyo Securities) ให้ความเห็นว่า ดัชนีไม่ได้ดูร้อนแรงจนเกินไป
เมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทต่างๆ คาดหวังว่าผลกำไรจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับปีงบประมาณ 2566 ที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2567 ปัจจุบันหุ้นญี่ปุ่นในดัชนี Nikkei 225 มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า เมื่อกับในปี 2532 ซึ่งอยู่ที่ 60 เท่า
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้น Nikkei ปรับเพิ่มขึ้น 19% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 28% ในปี 2566
อ้างอิง