เศรษฐกิจไทยยามนี้ จีดีพีต่ำเตี้ยจนไร้เสน่ห์ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยกันกระหน่ำ ขนเงินออกไปลงทุนที่ประเทศอื่น ประเทศที่มีเสน่ห์แรงที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ประเทศ “อินเดีย” ต้นตำรับมหากาพย์รามเกียรติ์ นาร้าย...นารายณ์ นั่นเอง เมื่อวานนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า กระทรวงการคลังอินเดียแถลงถึงจีดีพีปี 2566 ที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 7.3% ทำให้อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก สูงกว่าคาดการณ์ 6.3% ของบลูมเบิร์ก และคาดว่า มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเกิน 7% ในปีงบประมาณหน้าที่จะเริ่มในเดือนเมษายน
กระทรวงการคลังอินเดีย แถลงด้วยว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตในปีต่อๆไปในอัตราที่สูงกว่า 7% จาก ความแข็งแกร่งของภาคการเงิน และ การปฏิรูปโครงสร้างด้านอื่นๆ เมื่อเร็วๆนี้และในอนาคต มีเพียงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้นที่เป็นประเด็นน่าเป็นห่วง
กระทรวงการคลังอินเดียยังได้แถลงถึงการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของอินเดียว่า ประเด็นสำคัญในการปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดียในอนาคต ได้แก่ การศึกษา สุขภาพ ความมั่นคงทางด้านพลังงาน การลดภาระการปฏิบัติตามกฎระเบียบสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และปรับปรุงความสมดุลทางเพศในตลาดแรงงาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เอกชนไทยและนักวิชาการไทยได้เรียกให้รัฐบาลไทยปฏิรูปโครงสร้างมานานแล้ว แต่ 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอะไรเลย แต่จมปลักอยู่กับระบบรัฐราชการจนเศรษฐกิจไทยเป็นง่อยไม่สามารถเติบโตได้มากกว่า 3% ทำให้นักลงทุนไทยและต่างชาติสิ้นหวัง เทขายหุ้นไทยไปมากมาย ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยพลอยไร้เสน่ห์ไปด้วย
ในขณะที่ ตลาดหุ้นอินเดีย กลับหอมหวานยิ่ง นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนกันมากมาย กลัวตกรถ ตลาดหุ้นอินเดียให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 20% แถมยังมี หุ้นเทคโนโลยี มากมาย
นาย V Anantha Nageswaran หัวหน้าทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาลอินเดีย กล่าวในรายงานว่า รัฐบาลอินเดียได้เพิ่มรายจ่ายด้านการลงทุนเกือบ 1 ใน 3 ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านถนน ท่าเรือ และโรงไฟฟ้า นอกจากจะทำให้ระบบธนาคารมีความแข็งแกร่งและการออมในครัวเรือนดีแล้ว ยังทำให้อินเดียมีสถานะที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต การเติบโตที่สูงขึ้น จะผลักดันให้อินเดียทะยานขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ 7 ล้านล้านดอลลาร์ 245 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 จากขนาดเศรษฐกิจ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
เห็นความทะเยอทะยานของ รัฐบาลอินเดีย ที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคนแล้ว ผมก็ได้แต่ชื่นชม นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย เพียง 10 ปีที่เขาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจอินเดียจากหลังมือเป็นหน้ามือ จนเป็นที่กล่าวขวัญและจับตาของนักลงทุนทั่วโลก ในขณะที่ 10 ปีของไทยในช่วงเดียวกัน กลับเป็น Lost Decade หนึ่งทศวรรษที่สูญหายไป เศรษฐกิจไทยไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน แถมยังล้าหลังจนวิ่งไม่ได้ จีดีพีโตได้แค่ปีละ 2–3% เพราะติดกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ล้าหลังไม่มีการปฏิรูป
อินเดีย กำลังจะมี เลือกตั้งใหญ่ในช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคม ปีนี้เกจิทุกสำนักต่างคาดกันล่วงหน้า นายนเรนทรา โมดี จะคว้าชัยอีกครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียสมัยที่ 3 เพื่อสานต่อนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาที่ทำสำเร็จมาแล้ว ซึ่งจะเพิ่มเสน่ห์ให้อินเดียเป็นที่เย้ายวนขึ้นไปอีก มีการคาดกันว่า เศรษฐกิจอินเดียจะก้าวข้ามเยอรมนีขึ้นมาเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2025
ผมก็ฝาก ความสำเร็จของอินเดีย ให้ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ดูเป็นตัวอย่างครับ
ถ้าไม่เร่ง ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่ล้าหลัง โดยเฉพาะการศึกษาที่ล้าหลัง จีดีพีไทยจะไม่มีวันไปถึง 5% อย่างที่หวังแน่นอน แถมคนไทยจะยากจนขึ้นกว่าเดิมอีก.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม