ราคาน้ำมันร่วงหนักในรอบ 5 เดือน นักลงทุนกังวล กลุ่มโอเปก ลดกำลังผลิตเพิ่มไม่ได้

ราคาน้ำมันร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เหตุสำคัญมาจาก นักลงทุนกังวลว่า การขยายการลดการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ไม่เพียงพอที่จะพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ตกต่ำลง ท่ามกลางอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากประเทศนอกกลุ่มพันธมิตรและอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดลง 

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันดิบระหว่างประเทศ ร่วงลง 3.8% สู่ระดับ 74.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 4.1% สู่ 69.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ประเภท ลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันทำการ  

แม้ว่าซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (OPEC+) จะประกาศขยายการลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงไตรมาส 1/2567 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน ไม่ให้ตกต่ำลงกว่าเดิม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ความร่วมมือดังกล่าวไม่ใช่ข้อบังคับแต่เป็นการปรับลดตามความสมัครใจ ในขณะที่ประเทศนอกกลุ่มพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ สต๊อกน้ำมันพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

Martijn Rats หัวหน้านักยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Morgan Stanley กล่าวว่า 

“นักลงทุนในตลาดน้ำมันโลก กำลังประเมินความเป็นไปได้ที่ OPEC+ อาจไม่สามารถปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันได้เพิ่มเติมอีกต่อไป” 

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ตกต่ำลงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก สำหรับกลุ่มประเทศ OPEC+ เนื่องจากมีการส่งออกน้ำมันเป็นรายได้หลัก โดยช่วงที่ผ่านมา วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ในฐานะผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ เดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ รวมถึงหารือเรื่องราคาน้ำมัน ร่วมกับมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน  

ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่นักลงทุนกังวลว่า OPEC+ จะไม่สามารถควบคุมราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพได้ เนื่องจากบางประเทศสมาชิก ปฏิเสธลดกำลังการผลิต เนื่องจากกลัวการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดน้ำมัน 

Bjarne Schieldrop หัวหน้านักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของ SEB กล่าวว่า

“ปีนี้มีการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เติบโตแข็งแกร่งเกินคาด หากเป็นเช่นนั้นต่อไปในปีหน้า แน่นอนว่ามันเป็นความท้าทายสำหรับ Opec+ และอาจทำให้มีการประกาศขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม”

อ้างอิง

financialtimes