สำนักงานบริหารการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแห่งชาติจีน หรือ State Administration of Foreign Exchange (SAFE) เปิดเผยว่า จำนวนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน หดตัวลงมาอยู่ที่ 4.9 พันล้านดอลลาร์ (1.7 แสนล้านบาท) ซึ่งลดลง 87% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเป็นจํานวนเงินลงทุนที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2541
โดยข้อมูลของ SAFE ซึ่งวัดจากเงินลงทุนสุทธิ สามารถสะท้อนถึงแนวโน้มผลกำไรของบริษัทต่างชาติ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงขนาดการดำเนินงานในจีน
ในขณะที่ตัวเลขรายงานของกระทรวงพาณิชย์จีน พบว่า ช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2566 FDI ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี ส่งผลให้จำนวน FDI ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.4 ล้านล้านบาท) ในไตรมาสที่สอง ซึ่งไม่นับรวมรายได้จากการลงทุนซ้ำของบริษัทต่างชาติที่ดำเนินการในประเทศจีน และมีความผันผวนน้อยกว่าข้อมูลของ SAFE
หลิว เพยเฉียน นักเศรษฐศาสตร์เอเชียจาก Fidelity International บริษัทจัดการการลงทุนระดับโลก ให้ความเห็นว่า "ข้อมูลทั้งสองชุดแสดงให้เห็นการชะลอตัวของ FDI ที่ไหลเข้าจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการยกระดับ ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมระยะยาวของจีน และการกระจายห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นทั่วโลก"
ในช่วงที่ผ่านมา จีนได้สูญเสียความเชื่อมั่นการลงทุนในสายตานักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งที่รุมเร้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ทำให้การส่งออกสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้น ความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโควิดที่จำกัดการเข้าประเทศ ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นเวลา 3 ปี และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ต้องทบทวนแผนการลงทุนและนโยบายดำเนินงานในประเทศจีนใหม่
อีกทั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ถดถอยในปีนี้ ยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติ ที่สนใจเข้ามาลงทุนในจีน สะท้อนจากผลประกอบการของบริษัทต่างชาติส่วนใหญ่ที่กำไรลดลงถึงสองหลักท่ามกลางความต้องการของผู้บริโภคในประเทศที่ตกต่ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้น จากปัญหาบริษัทรถยนต์จีนที่ขายตัดราคา ส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในต่างประเทศซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน
อ้างอิง