เงินทุนต่างชาติไหลเข้าจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่สหรัฐฯ ยังครองแชมป์ FDI

สหรัฐอเมริกายังเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายการลงทุนในปีที่แล้ว แม้การไหลเข้าของเงินทุนลดลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 2.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 จาก 3.88 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า หรือลดลง 27% โดยมี สาเหตุหลักมาจากการลดลงอย่างมากของคำสั่งซื้อในต่างประเทศกับบริษัทอเมริกัน 

ขณะที่ FDI ทั่วโลกลดลง 12% เหลือ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากปี 2564 ทำให้ปีที่แล้วตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 ยกเว้นปี 2563 ที่เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญ รวมถึงผลกระทบที่ยืดเยื้อจากโรคระบาด ราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น และการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตามการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลงก็ยังน้อยกว่าที่องค์กรสหประชาชาติคาดการณ์ไว้ 

ด้านจีนถึงแม้ FDI จะยังตามหลังสหรัฐฯ อยู่พอสมควรแต่ในปีที่แล้วก็มีการไหลเข้าของเงินทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ 1.89 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% ซึ่งการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจในยุโรป ขณะที่ FDI ของยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 1.97 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามยุโรปมีความระมัดระวังมากขึ้น ต่อความทะเยอทะยานทางเศรษฐกิจและการอำนาจการครอบงำห่วงโซ่อุปทานระดับโลกบางส่วนของจีน ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศควบคุมการลงทุนขาออกไปยังจีน

ส่วนประเทศต่างๆ กำลังเพิ่มการคัดกรองการลงทุนในต่างประเทศที่อาจเป็นภัยคุกคามที่ต่อความมั่นคงของชาติในหลายภาคส่วน โดยในปี 2565 จำนวนประเทศที่มีการคัดกรองการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 37 ประเทศจาก 35 ประเทศ และมีอีก 9 ประเทศที่มีการตรวจสอบอยู่แล้ว ได้ขยายขอบเขตเกณฑ์การลงทุน องค์กรสหประชาชาติประเมินว่าจำนวนการเพิกถอนข้อตกลงการควบรวมและซื้อกิจการข้ามพรมแดนเป็นผลมาจากความกังวลด้านกฎระเบียบหรือการเมืองที่เพิ่มขึ้นหนึ่งในสามจากปี 2564

สอดคล้องกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลอื่นๆ ทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการจัดหาส่วนประกอบหลักที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมประเทศมากขึ้น เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ และร่วมมือกันลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากประเทศที่ขัดแย้งกันทางการเมือง นอกจากนี้ ยังพบว่ามูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรม “ที่เผชิญกับแรงกดดันจากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน” เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับกระแสโลก 

ในรายงานแยกต่างหากที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว สหประชาชาติกล่าวว่ามีสัญญาณเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาว่า ประเทศต่างๆ หันมาทำการค้ากับประเทศที่มีจุดยืนทางการเมืองแบบเดียวกันมากขึ้น และคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

อ้างอิง

WSJ