ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานสภาผู้แทนราษฎร เควิน แมคคาร์ธี แสดงความมั่นใจว่าข้อตกลงเพดานหนี้จะผ่านสภาคองเกรส เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ พร้อมกำหนดทิศทางการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางไปจนถึงหลังการเลือกตั้งปี 2567
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานสภาผู้แทนราษฎร เควิน แมคคาร์ธี ได้บรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยไบเดนเรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็นการประนีประนอมระหว่างสองฝ่าย ซึ่งจะช่วยป้องกันวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน ได้ออกมาเตือนว่า ภายในวันที่ 5 มิถุนายนที่จะถึงนี้ สหรัฐฯ จะมีเงินไม่เพียงพอในการชำระค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระผูกพันทั้งหมด ซึ่งช้ากว่าจากกำหนดเดิมที่คาดการณ์ไว้ในวันที่ 1 มิถุนายน ทำให้รัฐบาลมีเวลามากขึ้นในการหาทางออกเพื่อบรรลุข้อตกลงร่วมกัน
หลังจากสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ แมคคาร์ธี ได้เร่งให้สภาพรรครีพับลิกันออกร่างกฎหมายเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้ทันที และให้เวลาตัวแทน 72 ชั่วโมง ในการอ่านร่างกฎหมาย ก่อนที่จะมีลงมติอย่างเร็วที่สุดในวันพุธที่ 31 พฤษภาคมนี้ รวมถึงเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติสงวนการลงมติจนกว่าพวกเขาจะได้จะอ่านร่างกฎหมายทั้งหมด
ตอนนี้ทั้งไบเดน และแมคคาร์ธี อยู่ระหว่างการโน้มน้าวพันธมิตรของตนเองให้ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ โดยฝ่ายเดโมแครตหลายคนแสดงความไม่พอใจต่อการตัดสินในของไบเดน ทำให้ทำเนียบขาวต้องจัดประชุมกับพรรคเดโมแครต เพื่ออธิบายร่างกฎหมาย และสร้างเข้าใจร่วมกันเพื่อนำไปสู่การลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้
เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่สภาคองเกรสจะลงมติไม่ผ่านร่างกฎหมาย แมคคาร์ธี ได้กล่าวปฏิเสธ และอ้างว่า 95% ของสมาชิกสภานิติบัญญัติในพรรคของเขาตื่นเต้น กับข้อตกลง ในขณะเดียวกันเขาก็ยอมรับว่าร่างกฎหมายนี้มีแนวโน้มที่จะถูกต่อต้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันด้วยเช่นกัน
ร่างกฎหมายดังกล่าวได้บรรลุความต้องของพรรครีพับลิกัน ในการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยกำหนดวงเงินงบประมาณในปี 2567 สำหรับการใช้จ่ายด้านความมั่งคงที่ 886 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 704 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการใช้จ่ายภายในประเทศที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 895 พันล้านดอลลาร์ และ 711 พันล้านดอลลาร์ ตามลำดับ ในปีงบประมาณ 2568
และในปีนี้กรมสรรพากรจะถูกลดงบประมาณลง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหมายความว่าหน่วยงานจะต้องยุติการขยายจำนวนพนักงานและการปรับปรุงระบบการทำงานให้มีความทันสมัยขึ้น และในอีก 10 ปีข้างหน้า กรมสรรพากรจะต้องเผชิญกับการตัดงบประมาณรวมกว่า 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นความต้องการแรกของฝ่ายนิติบัญญัติพรรครีพับลิกัน
ร่างกฎหมายนี้ยังครอบคลุมการยกเลิกค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของรัฐบาล อีกหลายสิบรายการ ไม่ว่าโครงการที่เกี่ยวข้องกับโควิด การช่วยเหลือผู้อพยพและผู้ลี้ภัย การดูแลเด็กและที่อยู่อาศัย
อ้างอิง