อนุมัติ 3.4 แสนล้านไฮสปีดเฟส 2 เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีนรับ “นายกฯอิ๊งค์” เยือนถิ่นมังกร

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย วงเงิน 341,351.42 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (ปีงบฯ 2568-2575) โดยให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายปี กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ และค้ำประกันเงินกู้ให้ตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ซึ่งที่ผ่านมา ครม.มีมติเมื่อ 11 ก.ค.2560 ที่อนุมัติให้ รฟท.ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-หนองคาย (โครงการฯ ระยะที่ 1) กทม.-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. วงเงิน 179,413 ล้านบาท โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปีงบฯ 2560-2563) ซึ่งปัจจุบันโครงการฯ ระยะที่ 1 ล่าช้ากว่ากำหนด มีความคืบหน้าโดยรวม 35.74% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2571

นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า กระทรวงคมนาคม โดย รฟท.ได้ขออนุมัติดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 ประกอบด้วย การดำเนินการใน 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากโครงการฯ ระยะที่ 1 ที่จะเริ่มต้นที่จังหวัดนครราชสีมา ไปจนถึงจังหวัดหนองคาย วงเงิน 335,665.21 ล้านบาท ระยะทาง 357.12 กม. ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ 1.สถานีบัวใหญ่ 2.สถานีบ้านไผ่ 3.สถานีขอนแก่น 4.สถานีอุดรธานี และ 5.สถานีหนองคาย โดยจะเริ่มก่อสร้างในปีงบฯ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบฯ 2575 รวมเวลา 8 ปี ส่วนที่ 2 การก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา วงเงิน 5,686.21 ล้านบาท จังหวัดหนองคาย เป็นการก่อสร้างศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ทั้งขาเข้า-ขาออก ระหว่างทางขนาด 1 เมตร ของรถไฟไทย และขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว-จีน ในรูปแบบศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One stop service)

สำหรับโครงการฯ ระยะที่ 2 เมื่อพิจารณา EIRR เชิงกว้าง กรณีโครงการฯ ระยะที่ 1+2 พบว่า มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 13.23% ซึ่งยังมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ อีกทั้งคณะกรรมการการรถไฟฯ มีมติเห็นชอบโครงการฯ ระยะที่ 2 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ได้เห็นชอบรายงาน EIA ของโครงการฯ ระยะที่ 2 ด้วยแล้ว

ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เสนอให้การรถไฟฯ ศึกษารูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ และเสนอขออนุมัติพร้อมกันกับการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามขั้นตอนกฎหมาย โดยให้ทบทวนและปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ซึ่งที่ประชุมให้รับไปพิจารณา โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการว่า ขอให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากล่าช้ากว่าแผนมานานแล้ว

ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐ มนตรี และ รมว.คมนาคม กล่าวว่า การที่นายก รัฐมนตรีเยือนประเทศจีนระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ. ก็จะแจ้งทางจีนได้ว่าเรื่องนี้ได้ผ่าน ครม.แล้ว เพราะที่ผ่านมาเวลาเอกอัครราชทูตจีนเจอตน ก็มีการติดตามเรื่องนี้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ห่วงเรื่องการใช้งบประมาณที่สุด ซึ่งบางส่วนอยากให้เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน จึงจะให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดูแลในส่วนการเดินรถผ่าน พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีเอกชนมาลงทุนประมาณ 70,000 ล้านบาท ลดภาระที่รัฐบาลต้องออก 23% ส่วนการก่อสร้างจะเป็นไปตามที่รัฐบาลดำเนินการ

ส่วนเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือแลนด์บริดจ์ ช่วงที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนจีน อาจไม่มีการพูดคุยเรื่องดังกล่าวกับทางรัฐบาลจีนเพราะคุยตกผลึกหมดแล้ว แต่จะพูดคุยกับภาคเอกชนจีน ซึ่งขณะนี้นักลงทุนจากจีนที่มีความสนใจลงทุนมีประมาณ 6 บริษัท ส่วนนักลงทุนจากดูไบก็สนใจโครงการนี้เช่นกัน ต้องรอดูว่าประเทศกลุ่มนักลงทุนไหนเสนอผลประโยชน์ให้รัฐมากที่สุดก็จะชนะไป.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่