นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีคนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อช่วยให้ทำธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 ว่า ล่าสุดจากการติดตามผลการดำเนินคดีกับนอมินีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต ที่กรมได้ตรวจสอบเบื้องต้นและส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขยายผล พบว่า ศาลอาญาได้มีคำพิพากษา ตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.2812/2567 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.67 ลงโทษผู้กระทำความผิด 23 ราย ซึ่งมีโทษปรับรายละ 200,000 บาท รอการลงโทษจำคุก 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติ 1 ปี และสั่งให้จดทะเบียนเลิกบริษัท
สำหรับคดีนี้เริ่มต้นจากกรมได้ตรวจสอบ และพบความผิดปกติการถือครองหุ้นของนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งพบว่า มีกลุ่มสำนักงานกฎหมายและสำนักงานบัญชีที่รับจ้างจดทะเบียนนิติบุคคล หรือรับทำบัญชี โดยใช้ชื่อคนไทย (นอมินี) เป็นกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในหลายบริษัท เป็นผลเอื้อให้บุคคลต่างด้าวประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายในไทย จึงได้ส่งเรื่องต่อให้ดีเอสไอ ขยายผลการตรวจสอบเป็นคดีพิเศษ
“หลังจากส่งต่อให้ดีเอสไอขยายผลตรวจสอบแล้ว กรมได้ลงพื้นที่ตรวจค้นธุรกิจเป้าหมายร่วมกับดีเอสไอ พบว่า มีพฤติกรรมในลักษณะนอมินีจริง มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงพอนำไปสู่การส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องต่อศาล ในที่สุดศาลอาญาได้มีคำพิพากษา ลงโทษผู้กระทำผิดแล้ว ถือเป็นคดีตัวอย่างที่ได้ลงโทษตามกฎหมายกับผู้ที่ให้การสนับสนุนต่างด้าวประกอบธุรกิจในไทยโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย”
นางอรมน กล่าวต่อว่า ขอเตือนคนไทยที่มีพฤติกรรมให้ความช่วยเหลือกับบุคคลต่างชาติที่เข้าข่ายนอมินีให้หยุดการกระทำดังกล่าว เพราะเป็นการทำร้ายผู้ประกอบการไทย และทำลายธุรกิจของคนไทย ซึ่งจะมีความผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย คือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษปรับรายวัน อีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน
ทั้งนี้ ในแต่ละปีกรมจะตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นนอมินี โดยจะคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย และลงพื้นที่ตรวจสอบเชิงลึกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องปรามและนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ โดยเน้นตรวจสอบธุรกิจเสี่ยง คือ ท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เช่น ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ท อสังหาริมทรัพย์ และโลจิสติกส์ ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต ชลบุรี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ฯลฯ