ในยุคสมัยที่ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ เพื่อทำลายความซ้ำซากจำเจ และค้นหาคำตอบใหม่ๆ มาใช้เพื่อความอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดนี้
นโยบายรัฐบาลคือเครื่องมือสำคัญที่จะนำพาประเทศ และคนไทยให้ก้าวข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไปสู่ความสำเร็จได้ และสามารถทำให้รัฐบาลมีเงินมากพอจะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ โดยเฉพาะการสร้างคนและแก้ไขระบบการศึกษาได้ เป็นต้น
แม้นโยบายบางเรื่องอาจขัดต่อความคิดเดิมๆ และต้องใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจกันพอสมควร แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้เนิ่นนานเกินไป จนผลไม้ที่สุกงอมเน่าเสียจนกินไม่ได้ ขายก็ไม่มีใครเอา
เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลจะนำเสนอนโยบายขยายระยะเวลาเช่า และขยายสิทธิ์ของคนต่างชาติในการซื้ออาคารชุด ซึ่งจริงๆก็พูดกันมาหลายรัฐบาล และยังเตรียมการกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแก่การต้องลงมือทำเสียทีแล้ว
แต่ก็ยังดูเหมือนคนไทยจำนวนไม่น้อย ยังคงติดกับดักตัวเองอยู่ใน Comfort zone ที่มีกำแพงหนาหลายนิ้วด้วยการยืนกรานว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลไหนๆก็ตาม นำเรื่องนี้ขึ้นมาบังคับใช้
ในกลุ่มผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ มักจะตราหน้ารัฐบาลที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาทำว่าเป็น “คนขายชาติ” โดยไม่ทันได้พิจารณาถึงหลักการ เหตุผล และความจำเป็นในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปบนโลกของทุนนิยมสมัยใหม่
ทุกประเทศที่ใช้นโยบายนี้ ไม่มีประเทศไหนยกผืนดินประเทศตนให้เป็นสมบัติของต่างชาติ และที่รัฐบาลขอมา ก็แค่ขยายระยะเวลาให้เช่าจาก 30 ปี (+ 50 ปี) เป็น 99 ปี และการให้เช่า ก็ให้ถือเป็นทรัพยสิทธิที่จัดว่า เป็นระยะเวลาที่มีความมั่นคงเพียงพอที่ต่างชาติจะตัดสินใจนำเงินก้อนใหญ่มาลงทุน
ที่สำคัญคือจะทำให้การเช่าที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติเป็นไปด้วยความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้
ไม่ใช่ต้องเช่า หรือซื้อโดยการหลบเลี่ยงกฎหมายด้วยการมีตัวแทน นอมินี หรือต้องมีสามี หรือภรรยาเป็นคนไทย แล้วครอบครองที่ดินเกินกว่าสิทธิที่มีตามกฎหมาย จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นที่ชายชาวสวิสอ้างสิทธิครอบครองชายหาด ด้วยการเตะคุณหมอที่ภูเก็ตให้ออกจากที่ดินของตน จนถูกถอนวีซ่าไป หรือแม้แต่ล่าสุดที่ชายชาวเบลเยียมปล่อยสุนัขไล่กัดคุณลุงขี่จักรยานตอนเช้าให้ออกจากหาดของตนในจังหวัดตราดไป เป็นต้น
รัฐบาลยังเพิ่มโควตาการซื้ออาคารชุด จาก 49% เป็น 75% ในแต่ละโครงการ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากที่ขายไม่ออกเพราะเศรษฐกิจไม่ดีด้วย
แต่มีข้อแม้ว่า สิทธิในการโหวตยังคงอยู่ที่ 49% ตามเดิมเพื่อรักษาสิทธิในส่วนของคนไทยไว้ที่ 51%
ถ้ารัฐบาลสามารถดำเนินการตามนโยบายนี้ได้ อาคารชุดที่เหลือขายจำนวนมากในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2566 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งอาจจะเลยไปจนถึงสิ้นปี สามารถกลับมามีรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นได้
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 8% ของ GDP ประเทศไทย เพราะเป็นธุรกิจที่เชื่อมโยงเป็นลูกโซ่ นับตั้งแต่ทำให้คนไทยมีบ้าน เกี่ยวพันกับสถาบันการเงิน วัสดุก่อสร้าง อิฐ หิน ปูน ทราย เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น
หลายครั้งที่การเปลี่ยนความคิดเก่าๆ ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม