มรสุมเศรษฐกิจลูกใหม่

นโยบายการทำงานของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน แต่ยังจะต้องรับมือกับ มรสุมเศรษฐกิจคลื่นลูกใหม่ ที่ขยายแนวรบระหว่างสหรัฐฯกับจีน ไปในทุกภูมิภาค เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ใช่แค่การอยู่เป็นรัฐบาลจนครบ 4 ปี ประคับประคองกันไปตายเอาดาบหน้า แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้ได้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบ จากการเมืองการปกครอง และ การระบาดของโควิด-19 ที่เป็นสารตั้งต้นทำให้เศรษฐกิจตกท้องช้าง การจะปีนขึ้นจากหุบเหวกับดักทางเศรษฐกิจในสภาวะแวดล้อมที่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนทิศทาง เท่ากับจะต้องแก้ปัญหาที่หนักขึ้นสองเท่า

ต้องแก้การเมืองให้นิ่ง และ วางโครงสร้างฐานรากเศรษฐกิจให้สะเด็ดน้ำ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจที ปัจจุบัน จีน อินเดีย เวียดนาม วางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ทันสมัยในระยะยาว แยกออกจากนโยบายการเมืองเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ปัจจัยการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว รัฐบาลชุดนี้ยอมรับว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะยาว จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มความเชื่อมั่นเพื่อดึงดูดการลงทุน ฟื้นฟูเครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทยให้ใช้ได้เต็มสูบ เริ่มต้นมองปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศได้ถูกทิศถูกทางแล้ว

แต่การที่รัฐบาลเน้นไปที่ การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท การใช้ซอฟต์พาวเวอร์ เป็นนโยบายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการเน้นเฉพาะการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นวิธีที่แก้ปัญหาแบบผิดฝาผิดตัวหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาทบทวนให้ดี

จีดีพีไตรมาสแรก ต่ำที่สุดในอาเซียน แค่ร้อยละ 1.5 ต่ำกว่า มาเลเซีย ต่ำกว่า ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สิงคโปร์ไม่ต้องไปพูดถึง ไม่เห็นฝุ่น เป้าหมายที่จะให้จีดีพีโตขึ้นร้อยละ 5 ยังไม่เห็นแสงสว่าง ที่ผ่านมาภาคการผลิตติดลบต่อเนื่อง 3 ไตรมาส มูลค่าการส่งออก 4 เดือนแรก ต่ำกว่า เวียดนาม มาเลเซีย เรากำลังเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างน่าเสียดาย เพราะเราไม่ได้แก้ปัญหาให้ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ แต่เราแก้ปัญหาโดยเอาการเมืองเป็นบรรทัดฐาน

เมื่อเร็วๆนี้ ดนุชา พิชยนันท์ เลขาฯสภาพัฒน์ฯ ทำหนังสือถึง ครม. กรณีที่ ครม.เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะต้องใช้เงินจากรายจ่ายประจำปีงบประมาณ “ควรมีการพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์และผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังอย่างครบถ้วน”

เริ่มต้นจาก การปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง ในวันที่ 28 พ.ค.หลังจากนั้นจะมีการทบทวนประมาณการรายได้ กำหนดนโยบาย กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายร่วมกัน 4 หน่วยงานคือ กระทรวงการคลัง สศช. ธปท. และสำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาวงเงินงบประมาณรายจ่ายและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ ประเด็นก็คือ การพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 จะต้องผ่านการพิจารณาของสภาและวุฒิสภาภายในเดือน ส.ค. สว.ชุดใหม่ ยังลูกผีลูกคน มรสุมเศรษฐกิจระลอกใหม่กำลังโหมกระหน่ำเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง

ยอมเสียหน้ายังกู้คืนได้ ประเทศเสียหายกู้คืนยาก.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม