นับตั้งแต่ “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตแม่ทัพใหญ่ คุมเกม “แสนสิริ” ประกาศวางมือการทำธุรกิจ เมื่อ เม.ย. 2566 เพื่อเข้าสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว อาจต้องยอมรับว่า ชื่อของ “แสนสิริ จำกัด (มหาชน)” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของประเทศไทย ที่มีมูลค่าแบรนด์ สูงเป็นอันดับ 1 ราว 1.46 หมื่นล้านบาท และมีพอร์ตในเชิงธุรกิจนับแสนล้านบาทนั้น ก็ยิ่งถูกจับตามองมากขึ้น โดยเฉพาะ ทิศทางการดำเนินธุรกิจ ในยุคเปลี่ยนผ่านทางโครงสร้างครั้งใหญ่ อีกทั้ง ยังมีสปอตไลต์ทางการเมือง และสังคม สาดเข้าตัวเต็มๆ
วันนี้ (23 ม.ค. 2567) นับเป็นครั้งแรก ที่ปรากฏภาพ ของ “อภิชาติ จูตระกูล” หนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญ วางเสาหลักให้แสนสิริ ตั้งแต่ยุคเริ่มแรก 40 ปีก่อนหน้า สู่ เบื้องหน้า บนเวที การแถลงแผนธุรกิจประจำปี ที่เดิมเป็นที่ยืนของเศรษฐา หลังต้องหวนกลับมา สวมบทบาท เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจของแสนสิริ อีกครั้ง
โดย “อภิชาติ” เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้า ว่า แสนสิริ กำลังทรานส์ฟอร์ม สู่ การเติบโตในทศวรรษใหม่ อย่างยั่งยืน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่ง DNA ที่คงไว้ Speed to Market หรือความไว และตัดสินใจอย่างเฉียบคม รวมไปถึง ประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มานักต่อนัก เท่านั้น ที่จะเอาชนะตลาดและ “ภาวะเศรษฐกิจ” ได้
อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์ที่สำคัญในการแถลงแผนธุรกิจ ปีนี้ ของแสนสิริ กลับเป็น จำนวนเปิดตัวโครงการใหม่ ที่มาพร้อมกับเม็ดเงินลงทุน และมูลค่าสูงสุดถึง 6.1 หมื่นล้านบาท จำนวน 46 โครงการ ขณะเป้ายอดขายท้าทาย 5.2 หมื่นล้าน และยอดโอนกรรมสิทธิ์ ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้มากถึง 4.3 หมื่นล้าน จึงชวนให้น่าจับตามอง
เพราะนับเป็นการทุบสถิติตัวเองอีกครั้ง เนื่องจาก ถ้าย้อนไปในปีที่ผ่านมา แสนสิริ ที่บอกว่า เป็นอีกหนึ่งปีที่ดีทางธุรกิจนั้น ก็ได้สร้างยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมรวมกัน ได้มากถึง 4.9 หมื่นล้านบาท และมีรายได้สูง 3.9 หมื่นล้านบาท และเตรียมประกาศ ตัวเลขกำไรสุทธิ ที่คาดว่าจะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีอีกด้วย (9 เดือนแรก ปี 2566 กำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท)
“อภิชาติ จูตระกูล” กล่าวว่า ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ซึ่งกว่าจะเป็นแสนสิริ องค์กรชั้นนำที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายการเข้าทำงานของคนรุ่นใหม่ เราผ่านวิกฤติมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่วิกฤติกับโอกาสเป็นของคู่กัน เพราะทุกวิกฤติทำให้เราแข็งแกร่ง และเติบโตขึ้น เราไม่ได้เติบโตเพราะอยู่นาน แต่เป็นเพราะเราพร้อมเปลี่ยนแปลง รวดเร็ว ต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพ ของคนที่ถูกบ่มเพาะ ภายใต้ DNA เดียวกัน คือ SPEED TO MARKET
ซึ่งวันนี้กล้าประกาศได้ว่า จากเส้นทางการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานของบริษัท ตั้งแต่ทาวน์เฮาส์ 2 คูหา และมีพนักงานไม่ถึง 10 คน วันนี้เราไม่ได้ยืนอยู่ในฐานะ บริษัทอสังหาฯ ชั้นนำของไทย แต่เป็น “สถาบันองค์กรธุรกิจ” ที่สำคัญของประเทศ และจะเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ 4 กุญแจสำคัญ ลูกค้า-นักลงทุน-สังคม และ พนักงาน ผสานกับความเชี่ยวชาญ และการเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมในภาคอสังหาฯ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคม จะทำให้เราก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
ทั้งนี้ ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 40 แสนสิริพร้อมประกาศแผนธุรกิจ ด้วยแนวทาง “RESILIENT GROWTH-ยืนหยัด ยั่งยืน” โดยนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม มาต่อยอดธุรกิจ และขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคอย่างตรงใจและโดดเด่น เหนือคู่แข่ง และเป้าหมายกำไรสุทธิ ที่คาดว่าแสนสิริจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ ดีที่สุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ซึ่งจะถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา
“องค์กรที่อยู่เฉยๆ คือ องค์กรที่ตายแล้ว วันนี้ แสนสิริ เป็นสถาบันธุรกิจที่มีความเก่าแก่ เพราะอายุมากถึง 40 ปี และเราไม่อยากเป็นไฟที่วูบแล้วดับไป เราจะพัฒนาศักยภาพขององค์กร และขยายสิ่งใหม่ๆ เช่น ทัพผู้บริหารคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาเติมเต็ม เพื่อทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ในทศวรรษใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นว่า อสังหาฯ ไทย ดี และไม่น้อยหน้าใครในหลายประเทศ ขณะเดิมที อาจเชื่อกันว่า องค์กรมักถูกขับเคลื่อนด้วยตัวบุคคล แต่วันนี้ หากแต่เป็นศักยภาพขององค์กร และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อน โดย คำว่า สถาบันนั้น จะไม่ได้ถูกยึดติดด้วยตัวบุคคล “
สำหรับแผนธุรกิจของ แสนสิริ ปี 2567 นั้น พบว่า มีการวางแผนเปิดตัวโครงการบ้าน และคอนโดมิเนียม ทั้งใน กทม., เมืองท่องเที่ยว และต่างชาติ รวมทั้งสิ้น 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่า มีการเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักชัวรี่มากขึ้น ท่ามกลาง การหดตัวของกำลังกลุ่มระดับกลาง-ล่าง และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดบ้านระดับบน โดยแสนสิริเอง ยังยอมรับว่า มีความท้าทายอยู่มาก ในการดำเนินธุรกิจปีนี้
โดย เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลต์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่
ตลาดแนวราบกลุ่มระดับราคาเข้าถึงง่าย
แสนสิริเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่
นอกจากนี้ พบว่า ปีนี้ แสนสิริ ยังมีการขยายพอร์ตแนวราบเพิ่มเติมอีก โดยเตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่
ไฮไลต์ คอนโดมิเนียมแสนสิริ ปี 67
สำหรับกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม แสนสิริเคาะแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท ซึ่งราว 50% หรือ 9 โครงการ เป็นแผนที่จะมีการขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ ไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลต์ดังนี้ เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ขึ้นไป ได้แก่
แม่ทัพใหญ่ แสนสิริ ยังประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังขึ้นอยู่กับ ปัจจัยต่างประเทศ เป็นหลัก โดยเฉพาะ ทิศทางดอกเบี้ยโลก และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องสงครามของประเทศคู่ขัดแย้งต่างๆ
ขณะ “ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ” ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บมจ.แสนสิริ ให้มุมมองเสริมว่า คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2.9-3.4% โดยที่ยังไม่นับรวมตัวแปร นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากโครงการดังกล่าว เกิดขึ้นจริง เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ถึง 3.6-4%
ประเมิน 4 ปัจจัยบวกสำคัญ ได้แก่
ส่วนปัจจัยลบที่ท้าทาย ประกอบไปด้วย
“เรามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือเรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจก็อาจจะมีจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม”
ด้าน “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการแสนสิริ ประเมินภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทย ปีนี้ ว่า แม้ที่ผ่านมา ความต้องการ หรือดีมานด์ ในตลาดอสังหาฯ จะชะงักไปบ้าง แต่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เป็นสถานการณ์ที่ผู้คนพากันชะลอการตัดสินใจ หรือเลือกบ้านในระดับราคาที่ต่ำลงมา เช่น เดิมอยากซื้อบ้านเดี่ยว ก็เปลี่ยนมาเป็นบ้านแฝด หรือ อยากได้บ้านแฝด แต่กำลังซื้อไม่ถึง ก็เปลี่ยนมาเป็นการ ซื้อ ทาวน์เฮาส์ทดแทน
โดยคนไทยอีกจำนวนมาก ยังคงต้องการซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ขณะปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น มีผลกระทบน้อย ต่อตลาดหลักของบริษัท ที่เน้นบ้านระดับไฮเอนด์ เพราะมีสัดส่วนการซื้อด้วยเงินสดถึง 30% อีกทั้งกลยุทธ์ เรื่องโลเคชั่นที่มีศักยภาพ ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“กำลังซื้อที่ถดถอย ได้รับผลกระทบ กระจุกตัวอยู่ในตลาดทาวน์เฮาส์ การขายค่อนข้างใช้เวลานาน หลายบริษัทเจอกับปัญหานี้ เพราะ ทุกการขึ้นดอกเบี้ย 1% จะทำให้อำนาจการซื้อของคนลดลงไป 7-8%”
ทั้งนี้ ปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับวินัยการเงิน รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง, เน้นการขยายโอกาสในการลงทุน กับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปยัง Strategic Location 4 หัวเมืองใหญ่-ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา และหัวหิน รวมไปถึง สานต่อโมเดล “Sansiri Community” ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ และมุ่งสู่ การสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย พร้อมมอบกลับคืนสู่สังคม สนับสนุนลดความเหลื่อมล้ำ.