พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า การสร้างรายได้นอกเหนือธุรกิจการบิน (Non-Aero) เป็นหนึ่งในเป้าหมายการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อทำให้ ทอท.เติบโตอย่างยั่งยืน จึงมอบหมายให้ ทอท.ศึกษาการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ของท่าอากาศยานต่างๆ โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งพบว่า มีพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จำนวนมาก อาทิ ที่ดินแปลงถนนวัดศรีวารีน้อย 723 ไร่ และแปลง 37 เนื้อที่ 1,470 ไร่
อย่างไรก็ดี ได้มอบหมายให้ศึกษาที่ดินแปลงที่ใกล้กับอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้นำมาพัฒนาเร่งด่วน เพราะเป็นที่ดินแปลงศักยภาพ ต่อยอดไปสู่การบริการผู้โดยสารได้ ซึ่งเบื้องต้นมีแนวคิดจะพัฒนาให้เป็นคอมมูนิตี้มอลล์, เอาต์เลตหรือศูนย์การค้า เหมือนสนามบินชางงี สิงคโปร์ ที่มี Jewel Changi Airport หรือญี่ปุ่นที่มีเอาต์เลตไว้ช็อปปิ้ง เพื่อสร้างกิจกรรมระหว่างรอเดินทาง มีที่ฝากกระเป๋า หรืออาจจะรับ early check in (เช็กอินก่อนเวลา) รวมถึงบริการอื่นๆ เช่น นวดเท้า ทานอาหาร ช็อปปิ้ง ที่ใช้เวลาอยู่ได้ 6-7 ชั่วโมง จะทำให้ลดความแออัดในอาคารผู้โดยสาร และเกิดเงินสะพัดด้วย
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่า โครงการนี้จะศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 67 และเห็นเป็นรูปธรรมภายใน 1-2 ปี หลังจากนี้
ส่วนรูปแบบการลงทุนและการดำเนินงานนั้น ต้องมีความยืดหยุ่น ถูกต้อง และเหมาะสม โดยโมเดลที่ดีที่สุด คือ
การท่าอากาศยานได้ประโยชน์ ประเทศไทยได้ประโยชน์ ผู้โดยสารมีความสะดวก คู่ค้ามีความสุข รวมถึงลดความแออัดภายในสนามบิน “การทำรายได้เป็นเรื่องสำคัญ แม้กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ แต่เราก็ต้องดูแลผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งโครงการลงทุนต่างๆของ ทอท.จะเกิดขึ้นด้วยงบประมาณของ ทอท.เอง งบประมาณเราไม่ใช้เงินหลวงเลย แต่ ทอท.ต้องมีความระมัดระวังมาก การลงทุนต้องคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด”
“ทอท.มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนอกเหนือการบินให้มากกว่า 50% จากปัจจุบันที่กว่า 40% เพื่อทำให้ ทอท.มีรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการพึ่งพาเฉพาะรายได้จากธุรกิจการบินที่มีปัจจัยแวดล้อมกระทบ เช่น การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้รายได้ด้านการบินลดลงอย่างเห็นได้ชัด”.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่