นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ Easy E-Receipt จะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ 40,000-60,000 ล้านบาท และหากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ดำเนินการได้จริงตามแผน คาดว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้อีก 1.0-1.5% ส่งผลให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกปี 67 จะเติบโตได้อย่างน้อย 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 66 ที่ขยายตัวได้ 2.7% อย่างไรก็ตาม หอการค้าได้ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 67 คาดขยายตัว 3.2% (ยังไม่รวมผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) และคาดส่งออกขยายตัว 2-3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 2% และหนี้ครัวเรือนลดลงมาอยู่ที่ 87.8% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
ส่วนกรณีที่เงินเฟ้อทั่วไปของไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยปี 66 อยู่ที่ 1.23% นั้น คาดว่านโยบายการคลังที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ทั้งการ ยกเว้นวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว, โครงการ Easy E-Receipt, รวมถึงการผลักดันดิจิทัลวอลเล็ต จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และทำให้คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้น 2.0-2.5% เทียบปี 66 ที่ 1.23%
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก จนทำให้สถาบันการเงินมีกำไรสูงมากนั้น หากธนาคารปรับลดดอกเบี้ยลงจะช่วยลดภาระประชาชน ลดต้นทุนผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวก ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการเร่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในวันที่ 10 ม.ค.2567 นี้ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน จะมีการหารือกันในเรื่องนี้ด้วย ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาวาระ 1 แล้วนั้น ภาคเอกชนเห็นว่ามีส่วนสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นของประเทศ
“ในระหว่างการรองบประมาณปี 67 ที่คาดว่าเริ่มใช้ในเดือน พ.ค.นี้ หอฯอยากให้รัฐบาลหารือกับรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำงบประมาณลงทุนที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่แล้วมาใช้งานไปพลางก่อน”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่