สุพริศร์ สุวรรณิก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
เมื่อเดือนก่อน ผู้เขียนใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลนานกว่า 1 สัปดาห์ เพื่อดูแลคุณพ่อ ซึ่งตอนนี้หายจากโรคภัย ได้ออกมาจากโรงพยาบาล และกำลังฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแรงแล้ว ขณะที่อยู่โรงพยาบาล ผู้เขียนสังเกตเห็นการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่บางส่วนเป็นยี่ห้อของคนไทย จึงนึกย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงสมัยโควิด-19 ระบาดที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเสวนา Industry Transformation Forum “อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา” จึงขอนำสาระสำคัญที่ยังคงทันสมัยและน่าสนใจ มาฝากท่านผู้อ่านกันครับ
ในภาพรวม อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนสูง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ (1) ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เตียงผู้ป่วย รถเข็น เตียงตรวจ (2) วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง เข็มฉีดยา หลอดสวน และ (3) ชุดน้ำยาและชุดวินิจฉัยโรค เช่น ชุดน้ำยาล้างไต ชุดตรวจการติดเชื้อ ทั้งนี้ จากข้อมูลปี 2561 ประเทศที่ส่งออกอุปกรณ์การแพทย์สูงสุดในโลก คือ เยอรมนี ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ขณะที่ประเทศที่นำเข้าสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และจีน สำหรับประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ส่งออกในลำดับที่ 18 และนำเข้าเป็นลำดับที่ 33 ของโลก
ผลิตภัณฑ์ที่ไทยผลิตสัดส่วนใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยาง หลอดสวน หลอดฉีดยา รองลงมาคือ กลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะเตียงผู้ป่วย และกลุ่มชุดน้ำยาและชุดวินิจฉัยโรค ซึ่งส่วนใหญ่ร่วมทุนกับต่างชาติมาลงทุนในไทย อาทิ น้ำยาตรวจโรคเบาหวาน โรคไต โรคตับอักเสบ
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการส่งเสริมของภาครัฐในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) เพราะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S–Curve) รวมทั้งผู้ประกอบการสามารถเน้นตลาดในประเทศได้มากขึ้น และไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น การเจาะตลาดสินค้าพื้นฐานที่เกี่ยวกับสังคมสูงวัย การเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์ส่วนบุคคล (Health-Related Personal Devices) การคิดค้นอุปกรณ์เชิงเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive care)
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญอยู่หลายประการ ได้แก่ (1) อุปกรณ์การแพทย์ที่ผลิตในประเทศยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายของบุคลากรทางการแพทย์ในไทย (2) อุตสาหกรรมมีการแข่งขันด้านราคาอยู่ในระดับสูง (3) อัตราภาษีนำเข้าชิ้นส่วน อะไหล่ และวัตถุดิบในการผลิตที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่อัตราร้อยละ 20-30 ทำให้ราคาสินค้าของผู้ประกอบการไทยสูงขึ้นตามไปด้วย และ (4) ขาดความรู้และทรัพยากรที่เพียงพอในการลงทุน เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ know-how และงบประมาณจำนวนมาก
ดังนั้น ภาครัฐจึงควร (1) สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ของไทยในหน่วยงานและโรงพยาบาลของทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นและคุ้นเคยให้กับสินค้าแบรนด์ไทย (2) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาควิชาการและภาคธุรกิจ (3) สนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (4) เร่งปรับปรุงกฎระเบียบและภาษีที่เกี่ยวข้อง และ 5) การบ่มเพาะ startup รวมถึงสนับสนุนองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการไทย
โดยส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่าการสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ของไทยเป็นเรื่องที่ต้องทำเร่งด่วน และเป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพราะหากเราเชื่อมั่นในอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ของไทย จะสามารถจัดสรรงบประมาณที่จะประหยัดได้ เพื่อนำไปลงทุนในด้านสาธารณสุขหรืออื่นๆ ให้เกิดประโยชน์อีกมากมายครับ.