ธนาคารโลก หรือ World Bank เผยแพร่รายงาน “ปิดช่องว่าง : ความเหลื่อมล้ำและงานในประเทศไทย” ฉบับล่าสุด พบว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการลดช่องว่างระหว่างคนที่ร่ำรวยที่สุด และยากจนที่สุดเป็นอย่างมาก แต่ความคืบหน้าดังกล่าวชะลอตัวลงนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะในปี 2564 ประเทศไทยมีสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค หรือ Gini coefficient ของรายได้ ซึ่งเป็นหน่วยวัดมาตรฐานของความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ อยู่ที่ 43.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของความไม่เสมอภาคของรายได้ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และอยู่อันดับที่ 13 จาก 63 ประเทศที่มีการรายงานค่าสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาคของรายได้
อีกทั้งยังมีการกระจุกตัวของรายได้ในครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุด สูงเป็นพิเศษ โดยพบว่า 10% คนไทยที่ร่ำรวยที่สุดถือครองรายได้ และความมั่งคั่งมากกว่าคนครึ่งหนึ่งของประเทศ ในปี 2564
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีความแตกต่างด้านโอกาสทางการศึกษา และทักษะ เกษตรกรมีรายได้ต่ำ ท่ามกลางสถานการณ์ประชากรสูงวัย และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความท้าทายในการลดความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย
แม้ว่าผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อความยากจน และความเหลื่อมล้ำจะค่อนข้างน้อย แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้ช่องว่างของผลลัพธ์การเรียนรู้ และปัญหาหนี้สินในครัวเรือนที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้น
ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นและสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่ลดลงของประเทศไทยเป็นปัจจัยที่ทำให้ความพยายามลดความเหลื่อมล้ำมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความแตกต่างด้านรายได้ระหว่างภูมิภาค และระหว่างชุมชนภายในภูมิภาค มีส่วนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำโดยรวมในประเทศไทย
ดังนั้น ต้องทำให้มั่นใจก่อนว่านโยบายที่กำหนดขึ้นมาสามารถสนับสนุนกลุ่มเปราะบางได้อย่างเพียงพอ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อ และเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น
จากรายงานยังพบว่า ในปี 2563 รายได้เฉลี่ยในกรุงเทพฯ มี GDP ต่อหัวสูงที่สุดในประเทศ หรือคิดเป็นมากกว่า 6.5 เท่า ของรายได้เฉลี่ยของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมี GDP ต่อหัวต่ำที่สุด
และการกระจุกตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในระดับภูมิภาคของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคำแนะนำคือการเน้นถึงความจำเป็นในการพัฒนาระดับภูมิภาคให้เกิดความสมดุล
อีกประการคือ ช่องว่างทางการศึกษา และความแตกต่างทางอาชีพเป็นสาเหตุหลักของความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพราะการเข้าเรียนสูงเกือบจะเท่ามาตรฐานสากลในระดับปฐมศึกษา แต่กลับตกลงในระดับช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยพบว่า ประมาณ 8% ของเด็กผู้หญิงอายุ 15-17 ปี ไม่ได้ไปโรงเรียน ขณะที่กลุ่มเด็กผู้ชายในวัยดังกล่าวพุ่งสูงถึง 17%
รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดช่องว่างความมั่งคั่ง โดยพบว่า ครัวเรือนที่เป็นหนี้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 45.2% เป็น 51.5% ระหว่างปี 2562-2564 เนื่องจากการกู้ยืมเพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ช่วงโควิด-19
นาเดีย เบลฮัจ ฮัสซีน เบลกิธ นักเศรษฐศาสตร์ ด้านความยากจนของธนาคารโลก ในฐานะหัวหน้าทีมการศึกษารายงานฉบับนี้ กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสนับสนุนโรงเรียนในการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน และจัดให้มีโปรแกรมการฟื้นฟูการเรียนรู้ การเสริมสร้างโปรแกรมการคุ้มครองทางสังคม และการให้ความช่วยเหลือแบบพุ่งเป้า จะช่วยเพิ่มศักยภาพของการให้ความช่วยเหลือที่มีอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครัวเรือนยากจน
ด้านดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. กล่าวว่า ประเด็นความเหลื่อมล้ำอยู่กับประเทศไทยมาตลอด และหน่วยก็ได้ปรับปรุงตัวชี้วัด การวิธีวิเคราะห์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เพื่อให้แก้ปัญหาตรงเป้า โดย สศช.มีการปรับปรุงเส้นความยากจนทุก 10 ปี และประเมินความเหลื่อมล้ำด้านรายได้โดยนำข้อมูลภาษีมาพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของไทยที่ผ่านมา สัดส่วนคนจนไทยลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มีความผันผวน แม้เศรษฐกิจขยายตัว ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่าคนจนปัจจุบันมีปัญหาความยากจนเรื้อรัง อยู่ในกับดักความยากจนต่อเนื่อง และมีความยากจนข้ามรุ่น ส่งต่อถึงลูกหลาน
ส่วนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ต้องหาโอกาสสร้างอาชีพและรายได้ โดยการออกแบบนโยบายต้องนำเรื่องนี้เข้ามาพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนปัญหาให้ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยว่า แม่ฮ่องสอน ตาก ปัตตานี คือกลุ่มจังหวัดที่มีคนจนสูงสุด ขณะที่ รายได้ของคนรวยสุดคิดเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาท/คน/เดือน แต่คนจนสุดในประเทศมีรายได้อยู่ที่ 400 บาท/คน/เดือน หรือห่างกัน 8.2 เท่า และเมื่อพิจารณาด้านการศีกษาพบว่า โอกาสทางการศึกษาของคนรวยสุดกับคนจนสุดห่างกัน 8.1 เท่า.