จับชีพจรเศรษฐกิจไทย

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

จับชีพจรเศรษฐกิจไทย

Date Time: 14 ต.ค. 2566 05:15 น.

Summary

  • สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียนมีโอกาสได้ฟังผู้ว่าการแบงก์ชาติ ประเมินสุขภาพเศรษฐกิจไทย โดยท่านเปรียบการประเมินเศรษฐกิจกับการที่เราไปหาหมอตรวจเช็กสุขภาพ วัดค่าต่างๆ ของร่างกาย เช่นเดียวกับการประเมินสุขภาพเศรษฐกิจก็ต้องดูจากตัวชี้วัดต่างๆ

Latest

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำชัด ไทยไม่ลด "ดอกเบี้ย" ตามเฟด ชี้ "บาทแข็งค่า" ไม่ทุบทิศทางส่งออกไทย

ธนันธร มหาพรประจักษ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย

สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียนมีโอกาสได้ฟังผู้ว่าการแบงก์ชาติ ประเมินสุขภาพเศรษฐกิจไทย โดยท่านเปรียบการประเมินเศรษฐกิจกับการที่เราไปหาหมอตรวจเช็กสุขภาพ วัดค่าต่างๆ ของร่างกาย เช่นเดียวกับการประเมินสุขภาพเศรษฐกิจก็ต้องดูจากตัวชี้วัดต่างๆว่าสะท้อนอะไรสูงหรือต่ำไปเมื่อเทียบกับเกณฑ์ รวมถึงต้องดูปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบสุขภาพเศรษฐกิจในระยะต่อไปด้วย บางขุนพรหมชวนคิด วันนี้จึงขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจให้กับท่านผู้อ่านค่ะ

สุขภาพเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นอย่างไร? ด้านแรกด้านการฟื้นตัว การบริโภคภาคเอกชนและภาคท่องเที่ยวเติบโตดี การบริโภคโตสูงสุดในรอบ 20 ปี โดยได้แรงสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวทั้งรายได้และการจ้างงาน ส่วนภาคท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังกลับมาไม่เท่าช่วงก่อนโควิด แต่ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ทั้งนี้ ต้องติดตามผลกระทบว่าจะมีมากน้อยเพียงใดหลังเกิดเหตุกราดยิงที่มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต ด้าน การผลิตและส่งออกสินค้าไม่ถึงกับดีมาก จากเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่วนการลงทุนเอกชนถือว่าไม่ดี โตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยการลงทุนเอกชนของไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีไม่ถึง 1 ใน 4 น้อยกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย

ถัดมาด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในภาพรวมถือว่าโอเค ทั้งด้าน ราคาที่เงินเฟ้อไทยอยู่ต่ำสุดในอาเซียน ด้านสถาบันการเงินที่ตัวเลขชี้วัดด้านทุน สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านต่างประเทศที่ไทยมีทุนสำรองสูง หนี้ต่างประเทศต่ำ แม้ค่าเงินบาทจะผันผวนค่อนข้างมาก และด้านการคลังที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ขอบบนของเกณฑ์ปกติ แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤติ เพราะโครงสร้างการกู้ยืมมาจากในประเทศเป็นหลัก และอายุหนี้ค่อนข้างยาว ไม่ใช่กู้สั้นๆ

ถ้าจะมีจุดที่น่ากังวลคือหนี้ครัวเรือนที่สูง กว่า 90% ของจีดีพี ทำให้แบงก์ชาติต้องออกมาตรการมาแก้ปัญหานี้ รวมถึงดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมากเป็นเวลานาน ทำให้เห็นพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทน (search for yield) ซึ่งเมื่อดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นอาจก่อให้เกิดปัญหา ดังสุภาษิตที่ว่า “น้ำลดตอผุด” ได้

ด้านศักยภาพเศรษฐกิจไทยเป็นจุดที่อ่อนแอและน่าห่วงในหลายมิติ มิติแรงงาน คนไทยแก่ก่อนรวย โดยประเทศอื่นที่มีรายได้ใกล้เคียงกับเรามีสัดส่วนผู้สูงอายุต่ำกว่า ขณะที่การพัฒนาศักยภาพของแรงงานยังมีความท้าทาย สะท้อนจากผลการประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากล (PISA) ที่ตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน มิติลงทุน เราดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้น้อย กว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึง การลงทุนวิจัยและพัฒนาของไทยค่อนข้างต่ำ คิดเป็นเพียง 1% ของจีดีพี แต่ไม่ใช่ทุกอย่างไม่ดี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของไทยค่อนข้างดี ในอาเซียนเป็นรองแค่สิงคโปร์

จากการประเมินทั้ง 3 ด้านข้างต้น ผู้ว่าการแบงก์ชาติสรุปว่า ภาพรวมสุขภาพของเศรษฐกิจไทยตอนนี้เปรียบเหมือนกับคนป่วยที่ออกจากโรงพยาบาล กลับไปพักฟื้นตัวที่บ้านได้แล้ว แต่สุขภาพยังไม่เข้มแข็งนัก เพราะมีโรคเรื้อรัง ที่ต้องใช้การรักษาที่ตรงกับสภาพของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเวลานี้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาในเชิงโครงสร้างระยะยาว การรักษาผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจึงไม่มีความจำเป็นมากนัก แต่ควรเพิ่มศักยภาพการแข่งขันผ่านการพัฒนาคนและส่งเสริมการลงทุนมากกว่า

สำหรับบริบทไทยนั้น ผู้ว่าการแบงก์ชาติยกตัวอย่าง ยารักษาที่เกิดผลข้างเคียงน้อย มีต้นทุนต่ำ คือการปลดล็อกเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค ลดขั้นตอนหรือกฎหมายต่างๆที่ซ้ำซ้อน สิ่งเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนการลงทุน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องการมากได้ค่ะ.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บางขุนพรหมชวนคิด” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ