หลังจากมี นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ประกอบด้วยอาจารย์ และอดีตผู้บริหารแบงก์ชาติกว่า 133 คน ออกมาชี้ถึงข้อเสียและความเสี่ยงของการแจกเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ถึงกับว้าวุ่น แม้จะมีการตอบโต้มาจากฝ่ายการเมืองฝั่งรัฐบาล เอาเรื่องคนรวยคนจนมาเป็นข้ออ้าง กลายเป็นการตอบโต้ที่ไม่ตรงกับคำถาม แต่เป็นการแสดงออกถึงการรับรู้ในปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในอนาคตแค่ไหนเพียงไร
พอจะจับความได้ว่า เป็นเพราะต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากถึง 5.6 แสนล้านบาท และเงื่อนไขของนโยบายยังหละหลวม มีช่องโหว่หลายจุดที่จะนำไปสู่ผลกระทบอย่างรุนแรงทางการเงินการคลังของประเทศ
เพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลส่ง ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค ออกมาตอบโต้อ้างว่านโยบายดังกล่าวมาจากการลงพื้นที่และรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน ต้องการความช่วยเหลือจากปัญหาที่สะสมมาหลายปี ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้น 10 เท่าจากปี 2553 เสียงไม่ดังพอที่จะกลบเสียงของเซียนเศรษฐกิจ
อ้างการประเมินของ ม.หอการค้าไทย โครงการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 2-3 รอบ คิดเป็นมูลค่า 1-1.6 ล้านล้านบาท จะทำให้ จีดีพีขยายตัวถึง 5-7% แล้วก็ไปพูดถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยเชิงนโยบายอะไรต่อมิอะไร ถือว่ายังตอบไม่ตรงกับคำถามที่นักวิชาการตั้งข้อสังเกตไว้
มีนักวิชาการหลายคนเสนอทางออกในการแก้จุดอ่อนการแจกเงินดิจิทัล เช่น อนุสรณ์ ธรรมใจ ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล เสนอว่า จากการประเมินโดยไม่มีปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในปี 2567 มีการเติมเงินเข้าระบบ 5.6 แสนล้าน ถ้าเงินจำนวนนี้หมุนเวียนในระบบ 1-3 รอบ จะมีเม็ดเงินหมุนเวียน 1.6 ล้านล้าน ทำให้จีดีพีโตได้อีก 1.14-3.30% หรือจีดีพีจะโตในปี 2567 4-5% อย่างไรก็ตาม อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แรงกดดันทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้น จำเป็นต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น กลายเป็นการไปหักล้างผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อ ประสิทธิภาพการใช้จ่าย ของประชาชน
ที่นักวิชาการเห็นตรงกัน ไม่ได้คัดค้านการแจกเงินให้กับประชาชนเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ควรจะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้รัดกุมกว่านี้ เช่น การแจกให้กับคนไทยทุกคนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ปัญหาที่จะตามมาก็คือ ความจำเป็นและจุดประสงค์ในการใช้จ่ายเงินที่ไม่เหมือนกัน เช่น เด็กอายุ 16 อาจไม่ได้มองเรื่องของการดำรงชีพ แต่ไปมองเรื่องของสิ่งของฟุ่มเฟือย ประเภทวัยรุ่นต้องมี คนทำงานจะเน้นการใช้เงินเรื่องการดำรงชีวิตของครอบครัว ใช้หนี้ใช้สิน เรื่องของอนาคต ผู้สูงอายุก็จะเน้นเรื่องของสุขภาพ
สมมติครอบครัวหนึ่งมีอยู่ 7 คน ได้รับเงินรวมกันแล้ว 7 หมื่นบาท คงไม่คิดจะซื้อกะปิน้ำปลาอยู่แล้ว
ในขณะที่การใช้เงินดิจิทัลยังมีปัญหาการใช้เงินระหว่างร้านค้า กับผู้บริโภค เรื่องของการจำกัดระยะทางในการใช้เงินดิจิทัล เงื่อนไขในการนำเงินไปใช้จ่ายมีการควบคุมมากน้อยแค่ไหน ในที่สุดก็จะเป็นเบี้ยหัวแตก ผลประโยชน์จะไม่ได้กระจายไปในชุมชน ผลลัพธ์สุดท้ายจะตกอยู่กับทุนธุรกิจผูกขาด
สรุปว่ารัฐบาลจะแจกเงินไม่มีใครว่า แต่ควรจะกำหนดวิธีการ เงื่อนไขให้สอดคล้องกับอุปสงค์กับอุปทาน ไม่ควรทำแบบเหวี่ยงแหมองแต่ต้นน้ำ แต่ไม่ได้คำนวณถึงผลลัพธ์สุดท้ายของกลางน้ำและปลายน้ำครึ่งๆกลางๆคาราคาซัง.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th