นายกฯ ไม่คิดปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้การค้าไทย-สหรัฐฯ ฟื้น-ธปท.ดูแลบาทอ่อน

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

นายกฯ ไม่คิดปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้การค้าไทย-สหรัฐฯ ฟื้น-ธปท.ดูแลบาทอ่อน

Date Time: 22 ก.ย. 2566 05:47 น.

Latest

“พิชัย” เปิดเวทีชวนนักลงทุนเข้าไทย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์หลังกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำ ว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและเปิดกิจกรรมของอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ 78 (UNGA78) ว่า สิ่งเดียวที่ทุกประเทศในโลกนี้ ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ คือ การเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน และการดำเนินธุรกิจสีเขียว เพราะทุกประเทศต้องมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เชื่อว่าเวทีการประชุม UN ครั้งนี้ จะเกิดความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้น

การค้าไทย-สหรัฐฯฟื้นตัว

นายเศรษฐายังกล่าวปาฐกถาในงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน และหอการค้าสหรัฐฯ ว่า ไทย-สหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ยาวนานกว่า 190 ปี และงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่ภาคเอกชนสหรัฐฯมีต่อไทย หวังว่าจะเป็นพื้นฐานสร้างเครือข่ายและความร่วมมือใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงประเทศและเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ขณะที่การค้าไทย-สหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ด้วยมูลค่ากว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 65 ทำให้สหรัฐฯกลับมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของไทยเป็นครั้งแรกรอบ 15 ปี ตอกย้ำถึงความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งระหว่างกัน ส่วนการลงทุนนั้น จากการพบบริษัทสหรัฐฯหลายราย เชื่อว่าจะทยอยเพิ่มการลงทุนในไทย ส่วนรายใหม่ๆก็น่าจะเข้าไปลงทุนไทยมากขึ้น ซึ่งการพบปะกับบริษัทแบล็คร็อก กองทุนใหญ่ระดับโลก สนใจลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดในไทยเพิ่มเติมด้วย

ไม่เคยมีความคิดปลดผู้ว่าการ ธปท.

นายเศรษฐาได้กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าเป็นเรื่องน่าตลกมาก เพราะไม่เคยมีความคิดนี้ ไม่แน่ใจว่ามีข่าวได้อย่างไร ที่ผ่านมาได้เจอผู้ว่าการ ธปท. 3 ครั้ง ตั้งแต่ตนเข้ามาทำงานการเมือง ก่อนรับตำแหน่งนายกฯ ผู้ว่าการ ธปท.ได้หารือเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งได้ให้ข้อเสนอแนะหลายประเด็น ซึ่งตนน้อมรับมาปฏิบัติ “บางคนพูดว่านายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์ไปไล่ผู้ว่าการ ธปท.ออก ขอยืนยันว่า ความคิดยังไม่มีเลย อย่าว่าแต่สิทธิ์เลยครับ เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับผม และผู้ว่าการ ธปท. เพราะเราไม่เคยมีเรื่องอะไรมาก่อน ผมให้ความเคารพ ให้เกียรติ ต่างคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน”

ส่วนกรณีค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแตะ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯนั้น เรื่องนี้อยู่ในการกำกับดูแลของ ธปท. รัฐบาลไม่ได้ก้าวก่าย ตนเข้าใจว่าการที่เงินบาทอ่อนค่าลง เป็นเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ทำให้เงินทุนไหลออก เพื่อไปเก็งกำไรประเทศอื่นที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงกว่า แต่ค่าเงินบาทอ่อนมีข้อดี คือช่วยการส่งออกไทย เพราะทำให้ตัวเลขดีขึ้น และกระตุ้นการใช้จ่ายของการท่องเที่ยว ทำให้คนมีเงินดอลลาร์ต้องการมาเที่ยวไทยมากขึ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ที่เพิ่มสูงมากในช่วงนี้ เป็นผลจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับขึ้น รวมถึงการระดมเงินที่มากขึ้นของรัฐบาลนั้น เชื่อว่าการระดมเงินของรัฐ จะไม่กระทบต่อสภาพคล่องในตลาด ซึ่งได้หารือกับกระทรวงการคลังในเรื่องนี้แล้ว มองว่าไม่ใช่ประเด็น “ผมว่าสภาพคล่องในประเทศมีเยอะมาก ดังนั้นที่เอกชนมองว่า เราจะแย่งสภาพคล่อง จึงไม่น่ากังวล”

สั่ง สบน.ศึกษาขอบเขตกรีนบอนด์

นายเศรษฐายังกล่าวถึงการที่รัฐบาลจะมีการออกหุ้นกู้หรือพันธบัตร Sustaianability linked Bond ว่า ปัจจุบันได้มีการออกหุ้นกู้นี้ราว 12,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯอยู่แล้ว ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีขีดจำกัดเรื่องการใช้เงิน จึงต้องขยายขอบเขต ได้สั่งการให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เขียนคำจำกัดความ ว่าการระดมทุน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯมีขอบเขตอย่างไร โดยจะนำเงินมาใช้เกี่ยวกับธุรกิจสีเขียว คาดจะมีความชัดเจนและรายละเอียดเร็วๆนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) อายุ 10 ปี กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด 21 ก.ย.66 พุ่งแตะ 3.19%สูงสุดของปี โดยนักลงทุนกังวลหลังกระทรวงการคลัง เผยว่า มีแผนออกพันธบัตรรัฐบาลรวม 1.25 ล้านล้านบาท ในงบประมาณปี 67 เพิ่มขึ้นจาก 1.078 ล้านล้านบาท ในงบฯปี 66 ขณะที่นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการ สบน. กล่าวว่า ปีงบฯ67 สบน.วางกรอบการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น 160,000 ล้านบาท เพื่อให้วงเงินการออกพันธบัตรสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการขาดดุลงบประมาณ และพันธบัตรที่ครบกำหนด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามปกติในแต่ละปี ยืนยันว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลไม่ได้มากจนเกินไป จนทำให้เกิดภาวะล้นตลาด สบน.พิจารณาแล้ว เชื่อมั่นว่ามีความเหมาะสม และตลาดรองรับได้เพียงพอ

กำชับให้เปิดจุด ตม.ให้ครบทุกจุด

นายเศรษฐากล่าวถึงกรณี visa-free ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งพบว่าตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีกำลังพลไม่พอนั้น ได้หารือกับผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและได้สั่งการไปแล้วว่า ให้เปิดเคาน์เตอร์ ตม.ที่มีอยู่ 150 กว่าเคาน์เตอร์ให้เต็มทุกช่อง โดยเรื่องนี้จะติดตามอย่างใกล้ชิด “ผมให้ความสำคัญตั้งแต่ก้าวแรกที่นักท่องเที่ยวมาถึงประเทศไทย ขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่ตรวจคนเข้าเมือง เข้าวีซ่า รับกระเป๋าเรียกรถสาธารณะ จนถึงโรงแรม ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ไม่ได้แค่ฮูเลฮูเลกับนโยบายที่ออกไป ทำจริงติดตามแก้ปัญหาจริง”.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ